tag:blogger.com,1999:blog-49437913141856932022024-02-21T03:00:55.580-08:00บทเรียนซ่อมคอมพิวเตอร์พื้นฐานคอม ซ่อมคอม ปัญหาคอม แก้ปัญหาคอม อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ลงวินโดว์ windows xp ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ ระบบซอฟต์แวร์ บทเรียนซ่อมคอมพิวเตอร์เบื้องต้นUnknownnoreply@blogger.comBlogger17125tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-86276032790904111132009-09-24T09:33:00.000-07:002009-09-30T06:12:47.567-07:00ซ๊พียู (CPU)<div style="text-align: center;"><b>ยุค Intel Pentium Classic กับ AMD 5x86 และ AMD K5 </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><b>Intel Pentium ( Classic )</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNzrzz-GvpDLA4cQD2JImlCMdCFOn61XyxV23w8qz9MmbQZVhXVMwx06TrCKPwjGj4GEx6qss98S0OBzbK7-fPmZlw4Wp1sOwaffRDdBLMkXx1hDq6Bm33fnse9SdUBEm5MLPYxCx6NwhW/s1600-h/cpu-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNzrzz-GvpDLA4cQD2JImlCMdCFOn61XyxV23w8qz9MmbQZVhXVMwx06TrCKPwjGj4GEx6qss98S0OBzbK7-fPmZlw4Wp1sOwaffRDdBLMkXx1hDq6Bm33fnse9SdUBEm5MLPYxCx6NwhW/s320/cpu-1.jpg" /></a><br />
</div><br />
เพื่อแก้ปัญหาการอ้างชื่อรุ่นของ CPU ในการขาย CPU เลียนแบบจากทาง AMD และ Cyrix ทาง Intel จึงตัดสินใจจดลิขสิทธิ์ชื่อ CPU ของตน แต่ ชื่อที่เป็นตัวเลขนั้น ไม่สามารถจดทะเบียนลิขสิทธิ์ได้ จึงได้ทำการเปลี่ยนชื่อ CPU ใน generation ที่ 5 ของตนเป็น Pentium ( Pentium มีรากศัพท์มาจาก Penta ที่แปลว่า 5 ) ซึ่งต่อมา ก็เรียกว่า Pentium Classic <br />
<br />
และพร้อมๆ กันนั้นเอง ก็ได้เกิด slogan ของ Intel ซึ่งจะติดมาพร้อมๆกับ CPU ของตนว่า "Intel Inside" เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าของตน ว่าได้ CPU ของตน ( Intel ) แน่ๆ <br />
<br />
ทาง Intel ได้ประกาศตัว CPU Intel Pentium ในปี 1993 โดยเพิ่ม Cache ภายใน หรือ L1 Cache เป็น 2 เท่าจากรุ่น 486 คือ จาก 8 K เป็น 16 K แต่แบ่งหน้าที่การทำงานของ Cache เป็น 2 ส่วน คือ เป็น Data Cache ใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่จะใช้ประมวลผล มีขนาด 8 K และ อีกส่วนหนึ่ง เป็น Instruction Cache ซึ่งใช้เก็บคำสั่งต่างๆ ที่จะใช้ในการประมวลผล อีก 8 K <br />
<br />
ในส่วนของทรานซิสเตอร์ภายใน ก็เพิ่มจาก 486 ซึ่งมีประมาณ 1.2 ล้านตัว ไปเป็น 3.1 ล้านตัว และ ในส่วนของการประมวลผล ก็เปลี่ยนจากเดิมมาเป็น 32 Bit แต่ในส่วนของ FPU นั้นใช้ 64 Bit ดังนั้น pin ตรง interface ที่ใช้ ก็ต้องรองรับการส่ง/รับ ข้อมูลขนาด 64 Bit ด้วย ทำให้ต้องเปลี่ยน Interface ด้วย ทำให้ CPU Intel Pentium ไม่สามารถใช้บน Mainboard ของ 486 ได้ เรียก Interface นี้ว่า SPGA ซึ่งมีจำนวนช่องขาสำหรับใส่ pin ทั้งหมด 296 ขา หรือ ที่เราเรียกกันจนติดปากว่าเป็น Socket 7 นั่นเอง และ ไฟเลี้ยงของ CPU ก็เปลี่ยนมาเป็น 5 Volt ใน Pentium รุ่นแรกๆ ( Pentium 60 และ Pentium 66 ) แต่ต่อมา3.3 Volt เพราะการใช้ไฟที่ 5 Volt นั้น ทำให้ความร้อนที่เกิดขึ้นสูงมาก จึงได้ลดไฟเลี้ยงลง รวมถึงเปลี่ยนมาใช้ system bus ที่ 50 , 60 และ 66 MHz ด้วย <br />
<br />
CPU Intel Pentium นี้ ได้เพิ่ม Architecture เข้าไปใหม่ที่เรียกว่า "super-scalar" ซึ่งก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมเพิ่มขึ้นมาจาก 486 มาก โดยเฉพาะประสิทธิภาพในด้านการประมวลผลเลขจำนวนเต็ม ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว <br />
<br />
เรามาดูลักษณะเด่นๆ ของ Intel Pentium กันดีกว่า <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyJrMZpdgUQ_xtrmkl2MqpqUqZvcAuo2GYpXIwfd3-q3112NiRAkrZbLmG6PVGMaAOxX_2UIfjRRTDFvWgt-OEe2UkyGtYRvKT8xl6lqgpY3M4bLAJDANhXJPNOGGi386ara_ZxTXWULXu/s1600-h/cpu-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyJrMZpdgUQ_xtrmkl2MqpqUqZvcAuo2GYpXIwfd3-q3112NiRAkrZbLmG6PVGMaAOxX_2UIfjRRTDFvWgt-OEe2UkyGtYRvKT8xl6lqgpY3M4bLAJDANhXJPNOGGi386ara_ZxTXWULXu/s320/cpu-2.jpg" /></a><br />
</div><br />
<br />
• เป็น Superscalar Architecture <br />
• Dynamic Branch Prediction ( เกี่ยวกับการทำนายผลการคำนวนล่วงหน้า ) <br />
• สำหรับหน่วยประมวลผลเลขจำนวนเต็มเป็น Pipeline ( 2 Pipeline ) <br />
• หน่วยประมวลผลเลขทศนิยม ก็เป็น Pipeline ( 1 Pipeline ) <br />
• Improved Instruction Execution Time <br />
• แบ่ง Cache ออกเป็น 8 K สำหรับข้อมูล และ อีก 8 K สำหรับ คำสั่ง <br />
• ในส่วนของ Cache ข้อมูล จะเป็น Cache แบบ WriteBack <br />
• 64-Bit Data Bus <br />
• Bus Cycle Pipelining <br />
• Address Parity <br />
• Internal Parity Checking <br />
• Functional Redundancy Checking <br />
• Execution Tracing <br />
• สนับสนุนการทำงานแบบ Symmetric MuliProcessing หรือ SMP ทำให้สามารถใช้ Dual CPU ช่วยกันประมวลผลได้ <br />
<br />
แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ Pentium วางตลาดไม่นาน ก็มีข่าวที่ทำให้ทาง Intel ต้องสะอึก นั้นก็คือในช่วงปลายปี ( ประมาลเดือน พฤศจิกายน ) 1994 ( พ.ศ. 2537 ) มีการพบ Bug หรือข้อผิดพลาดในการคำนวนเลขทศนิยม ซึ่งเกิดขึ้นกับการหาร จนเป็นข่าวและทำให้ผู้ซื้อเกิดความลังเลอยู่พอสมควร ทำให้ Intel ต้องเร่งแก้ปัญหานี้ และ ออกแถลงการณ์แก้ข่าวจนวุ่นเลยทีเดียว โดยทาง Intel ก็ยินดีเปลี่ยน CPU ที่มีปัญหานั้นให้ ( รุ่นที่มีปัญหาคือรุ่นแรกๆ ได้แก่ Pentium 60 และ Pentium 66 ) <br />
<br />
<br />
<br />
<b>AMD 5x86 และ AMD K5 </b><br />
<br />
สำหรับ AMD นั้น เมื่อแยกตัวออกมาจาก Intel และ ผลิต CPU เลียนแบบ CPU ของ Intel โดยใช้ Microcode ของ Intel ซึ่งก็ผลิตมาจนถึงรุ่น AMD 5x86 ซึ่งก็เป็น CPU ที่มีความเร็วมากถึง 133 MHz ใช้ตัวคูณที่ 4 ( 33x4 ) ทำให้ประสิทธิภาพโดยทั่วๆไป นั้นใกล้เคียงกับ ระดับ Intel Penium 75 เลยทีเดียว แต่โดยสถาปัตยกรรมภายในแล้ว ก็เหมือนๆกับ 486DX นั่นเอง เพราะ ไม่ใช่ Superscalar Design เพียงแต่ มันเพิ่มความเร็วขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่ก็มีบ้างสำหรับบางคำสั่ง ที่มันสามารถทำงานได้เสร็จภายใน 1 รอบสัญญาณนาฬิกา <br />
AMD 5x86 นั้น มี Cache ภายใน หรือ L1 Cache ขนาด 16 K และ เป็นแบบ Write Back เป็น CPU แบบ 32 Bit และ ใช้ความกว้างของเส้นทางข้อมูล 32 Bit รวมถึงสามารถอ้างตำแหน่งได้ 32 Bit ด้วย <br />
<br />
โดยราคานั้น ก็ถูกมากๆ และ คิดคุณภาพต่อราคา ก็จัดว่าคุ้มค่ามากๆ โดยใช้ Pin และ Mainboard แบบ 486 ได้ <br />
<br />
และ ต่อมา ทาง AMD ก็ได้หันมาผลิต CPU ที่เป็นของตัวเองบ้าง โดยทำการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในใหม่เองทั้งหมด และ เปลี่ยนชื่อ CPU ของตน ซึ่งจัดว่าเป็น Generation ที่ 5 เสียใหม่ว่า AMD K5 ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็ยังคงเรียกว่า AMD 5k86 เพื่อมิให้ผู้ใช้เกิดการสับสน และ เปรียบเทียบรุ่นของ CPU ไม่ถูก <br />
<br />
โดยสถาปัตยกรรมของ AMD K5 นั้นได้ spec ต่างๆ เป็นเท่าตัวของ Intel Pentium และได้มีการใช้ P-Rating ( หรือ PR ) เป็นตัววัดประสิทธิภาพ เทียบกับ CPU ของ Intel Pentium ซึ่งประสิทธิภาพของ AMD K5 นั้น ก็จัดได้ว่าดีเยี่ยมทีเดียว เพียงแต่ รุ่นนี้ออกมาช้า และขาดการโปรโมทที่ดี ทำให้ไม่ได้รับการนิยมเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ความสามารถนั้น ก็เทียบเท่ากับ Intel Pentium ( จะมีก็แต่ในส่วนของ FPU ที่ยังคงตามหลังอยู่ ) และ ราคานั้น ก็ถูกกว่า Intel Pentium อยู่พอสมควรเช่นกัน <br />
<br />
เรามาดูลักษณะเด่นๆ ของ AMD K5 บ้างดีกว่า <br />
o 4-issue core with full out-of-order execution and completion <br />
o แบ่ง L1 Cache เป็นสองส่วน คือ 8 K สำหรับ Cache ข้อมูล และ อีก 16 K สำหรับ Cache คำสั่ง <br />
o ในส่วนของ Cache ข้อมูล จะเป็น Cache แบบ WriteBack <br />
o Dynamic, block-oriented branch prediction with speculative execution <br />
o 5-stage RISC-like pipeline <br />
o 6 parallel functional units <br />
o High-performance FPU <br />
o Validated software compatibility <br />
o Static clock control with AMD-patented Digital Phase Lock Loop (DLL) circuitry <br />
o 64-bit Pentium-compatible และใช้ Socket 7 เช่นเดียวกับ Pentium <br />
o ใช้ System Bus เป็น 60 และ 66 MHz <br />
o Compatibility with existing 586-class systems and supporting designs <br />
o ใช้ไฟเลี้ยง CPU 3.52 MHz <br />
<br />
<br />
ผมจะขอกล่าวถึง NextGen 5x86 สักนิดหนึ่ง เพราะ บริษัทนี้ ถูก AMD เข้าซื้อ และ รวมเทคโนโลยี เข้าเป็น CPU ในยุคใหม่ ในช่วงเวลาถัดมา โดย CPU ของ NextGen ในสมัยนั้น คือ 5x86 มีคุณสมบัติที่ดูแล้วน่าสนใจมากๆ เลยทีเดียว แต่ก็มีข้อด้อยที่น่าเสียดายใช่น้อยเช่นกัน มาดูลักษณะเด่นๆของ Nx586 กันดีกว่า <br />
o Superscalar Execution <br />
o มี 2 Pipeline และสามารถจัดการกับคำสั่งแบบไม่เรียงลำดับได้ <br />
o แบ่ง Cache ระดับ 1 ออกเป็น ส่วนข้อมูล และ ส่วนคำสั่ง <br />
o Branch Prediction <br />
o 64-bit bus <br />
ซึ่งดูๆแล้ว ก็เหมือนๆ กับ ทั้ง Pentium และ AMD K5 เลย แต่ยังครับ ยังมีอยู่ 2 จุด ที่เป็นจุดเด่น และ น่าสนใจของ Nx586 <br />
o RISC86 Microarchitecture จากพื้นฐานการทำงานของ RISC นั้น จะเร็วและ มีประสิทธิภาพโดยรวม สูงกว่าแบบ CISC ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ CPU ตระกูล x86 ซึ่งเป็น CISC ก็โดยการ แปลงคำสั่งของ RISC มาใช้บน CISC ซึ่งก็เรียกว่าเป็น RISC86 ซึ่งผลที่ได้ก็คือ <br />
1. ได้ประสิทธิภาพแบบ RISC สำหรับคำสั่งของ x86 ที่เป็น CISC <br />
2. หน่วยการทำงาน หรือ Execution Unit ก็จะมีขนาดเล็กลง <br />
3. หน่วยการทำงานจะมีประสิทธิภาพดีขึ้น <br />
4. ง่ายต่อการเพิ่มหน่วยการทำงานในภายภาคหน้า ซึ่งนอกจากจะทำให้มีประสิทธิภาพสูงในช่วงนั้นแล้ว ยังเผื่อสำหรับอนาคตต่อไปได้อีกด้วย <br />
<br />
o On-chip L2 Cache Controller Nx586 นั้นจะมีตัวควบคุมการทำงานของ L2 Cache ( ที่อยู่บน Mainboard ) อยู่ในตัว CPU เองเลย ทำให้สามารถควบคุมการทำงานให้ได้ประสิทธิภาพมาก กว่าการที่จะให้ตัวควบคุมบน Mainboard เป็นตัวควบคุม ซึ่งแน่นอน การทำงานของ L2 Cache ก็จะทำงานด้วยความเร็วที่เท่าๆกับความเร็วของ CPU เลย ซึ่งก็จะทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้นอีก <br />
<br />
ดูแล้วน่าจะมีประสิทธิภาพสูง และ เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากสำหรับ Intel Pentium เลยนะครับ แต่ Nx586 นั้น มีข้อด้อยที่ทำให้ความเด่นของมันลดลงไปเลย ก็คือ <br />
21. ใช้ Socket ที่ต่างจาก Pentium และ K5 อีกทั้งยังใช้ไฟเลี้ยง 4 Volt ด้วย ทำให้ต้องออกแบบ Mainboard มาเฉพาะตัวเลย <br />
22. ไม่สนับสนุนการทำงานเชิงทศนิยม ทำให้ไม่ compatible กับ คำสั่งเก่าๆ บางคำสั่งของ 486 DX และ ประสิทธิภาพด้านนี้ด้อยลงไปถนัดตา <br />
ซึ่งจุดนี้หล่ะครับ ที่ทำให้มันไม่เด่น ไม่ดังนัก แต่ มันก็เป็นเทคโนโลยี ที่ AMD นำไปใช้ในการพัฒนา CPU ของตนต่อไป <br />
<br />
รายละเอียดเพิ่มเติม <br />
<br />
• Write Back กับ Write Through<br />
เป็นวิธีการเขียนข้อมูลกลับลง ที่หน่วยความจำหลัก โดยที่ Write Throught นั้น เมื่อมีการเขียนข้อมูลลงบน Cache แล้ว ก็จะทำการเขียนข้อมูลลงบน หน่วยความจำหลักด้วย ทันที ซึ่งก็จะเสียเวลาในการเข้าถึงหน่วยความจำหลักอยู่มาก ( เมื่อเทียบกับการเข้าถึงหน่วยความจำ Cache ) แต่ Write Back นั้นจะต่างกัน โดย Write Back นั้นจะเก็บข้อมูลบน Cache ให้นานที่สุด เมื่อมีการ Idle หรือ ต้องการใช้เนื้อที่บน Cache ในการเก็บข้อมูล อื่น จึงจะทำการเขียนข้อมูลนั้นๆ ลงบน หน่วยความจำหลัก ซึ่งก็ช่วยลดเวลาลงอีกมากเลยทีเดียว<br />
<br />
• PR ( P-Rating )<br />
P-Rating นั้น เป็นมาตรในการวัดประสิทธิภาพของ CPU ที่ง่ายต่อความเข้าใจ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือในการกำหนดมาตรฐานร่วมกันระหว่าง AMD, Cyrix, IBM และ SGS Thomson โดยใช้โปรแกรม Winstone เป็นตัวทดสอบประสิทธิภาพ ( ในสมัยนั้นใช้ Winstone 96 ) <br />
<br />
ทำไมต้องเป็น P-Rating?<br />
ก็เพราะว่า เมื่อ Intel ตัดสินใจจดลิขสิทธิ์ชื่อ Pentium แล้ว AMD, Cyrix และ เจ้าอื่นๆ ก็ไม่สามารถจะใช้ชื่อ Pentium ได้ ซึ่งแต่รุ่น 286, 386 หรือแม้แต่ 486 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะของ Intel , AMD , Cyrix หรือเจ้าไหนๆ ก็ใช้ชื่อนี้ได้ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ก็อาจสร้างความงุนงงแก่ผู้ซื้อ ว่ารุ่นใหม่ๆ ของ AMD, Cyrix นั้น จะเอาไปเทียบรุ่นกับ Pentium ที่เท่าไร จึงเกิดมาตรฐานนี้ขึ้นมา <br />
<br />
การทดสอบประสิทธิภาพเพื่อหาค่า PR นั้น ก็ทำโดยใช้ CPU Intel Pentium วัดประสิทธิภาพด้วย Winstone ในระดับต่างๆ จากนั้น จึงเอา CPU Intel Pentium ออก แล้ว เอา AMD K5 ( หรือ อื่นๆ ) ใส่ลงไปแทน แล้ว วัดประสิทธิภาพเปรียบเทียบกัน โดยที่อุปกรณ์อื่นๆ ยังคงเหมือนเดิม ต่างกันที่ CPU เท่านั้น <br />
<br />
ถ้า AMD K5 นั้น มี P-Rating เป็น 100 ( PR 100 ) นั่นก็หมายความว่า CPU ตัวนั้นมีประสิทธิภาพที่เทียบเท่า หรือ เหนือกว่า CPU ของ Intel Pentium ที่ความเร็ว 100 MHz หรือ AMD K5 PR 133 ก็หมายความว่า มีประสิทธิภาพในระดับเดียวกันหรือมากกว่า Intel Pentium 133 MHz นั่นเอง <br />
<br />
แต่อย่างไรก็ตาม "PR" นั้น ก็ไม่ใช่เป็นตัวบอกความเร็วที่แท้จริงของ ความเร็วของ CPU ดังที่ได้เห็นแล้วจากตัวอย่างข้างต้นของ AMD ปัจจุบันนี้ ก็เหลือแต่ CPU ของ IBM และ Cyrix เท่านั้น ที่ยังคงใช้ PR เป็นตัวบอกรุ่นความเร็วของ CPU ของตน <br />
<br />
• Pipelining<br />
คือการแบ่งหน้าที่การทำงานของ CPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยแบ่งคร่าวๆ เป็น 5 ขั้นตอน คือ <br />
o Instruction Fetch หรือ ภาครับคำสั่ง จะทำหน้าที่รับคำสั่งใหม่ๆ ทั้งจากหน่วยความจำหลัก หรือจากใน Instruction Cache เข้ามา เพื่อส่งต่อให้ภาคต่อไปจัดการต่อ <br />
o Instruction Decode หรือ ภาคการแปลคำสั่ง คือ จะทำหน้าที่แยกแยะคำสั่งต่างๆ ของ CISC ซึ่งในตอนที่แล้ว เราทราบแล้วว่า CISC นั้น ในแต่ละคำสั่ง จะมีขนาดที่ไม่แน่นอน ตรงส่วนนี้ก็จะทำการซอยคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งย่อยๆ ให้มีความยาวเท่าๆกัน ในลักษณะเช่นเดียวกับ RISC เรียกคำสั่งย่อยๆ นั้นว่า Micro Operation <br />
o Get Operands หรือ ภาครับข้อมูล คือ รับข้อมูลที่จะใช้ในการประมวลผลเข้ามาเก็บไว้ เช่นจากขั้นตอนที่ 2 เรารู้ว่าจะใช้การ "บวก" ก็ต้องรับค่าที่จะใช้ในการบวก มาด้วยอีก 2 ค่า บางทีขั้นตอนนี้ ก็ถูกรวมเข้ากับขั้นตอนที่ 2 <br />
o Execute หรือ ภาคประมวลผล เป็นขั้นตอนที่ทำการประมวลผลตามคำสั่งและ operand ที่ได้รับมาจากขั้นที่ 2 และ 3 ซึ่ง ถ้าให้ขั้นที่ 2 เป็นการถอดรหัสว่าเป็นการบวก ขั้นที่ 3 รับค่าที่จะบวก ขั้นนี้ ( ขั้นที่ 4 ) ก็จะทำการบวกให้ได้ผลลัพธ์ออกมา <br />
o Write Result หรือ ภาคการเขียนข้อมูลกลับ เมื่อทำการประมวลผลเสร็จสิ้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะนำไปเก็บไว้ใน register หรือ ใน Data Cache ซึ่งบางที ขั้นตอนนี้ ก็ถูกมองรวมไว้กับขั้นที่ 4 <br />
<br />
ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อ CPU ได้รับ คำสั่งเข้ามาแล้ว ก็จะทำการแปลงหรือถอดรหัสให้เป็นคำสั่งที่ CPU เข้าใจ แล้วจึงทำงานตามคำสั่งนั้นๆ ซึ่งในขณะที่ทำงานแต่ละคำสั่งนั้น ก็ต้องรอให้ทำครบทุกขั้นตอนเสียก่อน จึงจะรับคำสั่งใหม่ๆ เข้ามาได้ การทำงานแบบ Pipelining นั้น ก็จะช่วยใช้ช่วงเวลาให้คุ้มค่า ให้ CPU ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยในขณะที่รับคำสั่งเข้ามาก็จะทำการส่งต่อให้ ภาคแปลคำสั่ง เมื่อส่งต่อให้ แล้ว ก็ทำการรับคำสั่งถัดไปทันที และ เมื่อ ภาคแปลคำสั่งได้รับคำสั่ง ก็จะทำการแปล และ แยกแยะคำสั่ง แล้วส่งต่อให้ภาครับข้อมูลต่อไป เป็นทอดๆ ซึ่งทำให้สามารถทำงานได้หลายๆ คำสั่งในขณะเวลาเดียวกัน การทำงานแบบ Pipeline นี้ ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU ได้อีกมากมายเลยทีเดียว <br />
<br />
Super Scalar<br />
อีกวิธีหนึ่งสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU นั่นก็คือ การให้ CPU นั้นสามารถทำงานหลายๆ คำสั่งได้พร้อมๆกัน ใน 1 สัญญาณนาฬิกา หรือมีหลายๆ Pipeline ทำให้สามารถทำงานได้หลายๆ คำสั่งพร้อมๆ กันได้<br />
<br />
เรื่องของ Pipeline และ SuperScalar สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Pipeline and SuperScalar ครับ <br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><b>ช่วงต้นยุคที่ 6 ( ของ CPU )</b><br />
</div><br />
<b>Intel Pentium Pro ( P64C ) </b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPZD6V3DczimQwQPEbRSt_kb-PeZfGAYqKJ8rHLWtJdesYuHE7N6p7lPcdAic20a27L19WcbyvAVw6_9q6sL_3NObubtMxPM7usxjN5TCNVxElgNITn9XvCH5vdj2SD7eXNElSoGAGYdIR/s1600-h/cpu-3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPZD6V3DczimQwQPEbRSt_kb-PeZfGAYqKJ8rHLWtJdesYuHE7N6p7lPcdAic20a27L19WcbyvAVw6_9q6sL_3NObubtMxPM7usxjN5TCNVxElgNITn9XvCH5vdj2SD7eXNElSoGAGYdIR/s320/cpu-3.jpg" /></a><br />
</div><br />
ในราวๆ เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1995 Intel ก็ได้เปิดตัว CPU ในยุคที่ 6 ของตน โดยมี CodeName ว่า "P6" ซึ่งพัฒนาและปรับปรุงการทำงานเพิ่มเติมขึ้นมาอีก พอสมควรจาก Pentium Classic แต่ได้มีการย้าย Cache ภายนอก ( หรือ Cache ระดับ 2 , L2 Cache ) ซึ่งปกติแล้วจะวางอยู่บน Mainboard มาไว้ที่ แผ่น Silicon เดียวกันกับ CPU เลย ( แต่ไม่ได้อยู่ ภายใน CPU ) เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานของ L2 Cache และ การเพิ่มความเร็วในการเข้าถึง และดึง ข้อมูลจากใน Cache ... แต่ก็ด้วยเหตุที่ต้องรวมเอา Cache เข้าไปด้วยนี้เอง ทำให้ราคาของ CPU นั้นสูงเอามากๆ <br />
<br />
Intel ได้เปลี่ยนแนวคิดของตัวเอง โดยหันมาใช้การประมวลผลแบบ RISC ใน CPU ของตนบ้าง ด้วยการดัดแปลงชุดคำสั่งสำหรับ x86 ของตนให้เป็น ชุดคำสั่ง ของ RISC ที่เล็กกว่า เร็วกว่า และ ง่ายกว่าเดิม เรียกว่าเป็นชุดคำสั่ง RISC86 <br />
<br />
Pentium Pro มี ชุด Pipeline 3 ชุด ซึ่งมากกว่า Pentium Classic ซึ่งมีเพียง 2 ชุด และมีการแยกขั้นตอนการทำงานออกเป็นถึง 14 ขั้นตอน และยังสนับสนุนการ ทำงานแบบคาดเดาคำสั่งที่จะต้องเรียกใช้ล่วงหน้าได้ ซึ่งเรียกว่า Speculative Execution แต่ Intel เรียกการทำงานนี้ว่าเป็น Dynamic Execution <br />
<br />
อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป ก็คือ Interface ที่ใช้ ซึ่งจากเดิมใช้บน Socket 7 ก็หันมาใช้ที่ Socket 8 แทน ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้กับ Mainboard ของ Pentium Classic แน่นอน จะใช้รุ่นนี้ ก็ต้องซื้อ Mainboard ใหม่ด้วย <br />
<br />
สิ่งที่น่าแปลกใจ สำหรับ Pentium Pro อย่างหนึ่ง ก็คือ ขนาดของ Cache ภายใน หรือ Cache ระดับ 1 ที่ยังคงมีเพียง 16 K เท่านั้น เท่าๆ กับ Pentium Classic เลย แต่ก็ชดเชยจุดด้อยตรงนี้ด้วย Cache ระดับ 2 ที่มีขนาดใหญ่ และมีให้เลือกหลายรุ่น คือรุ่นที่มี Cache ระดับ 2 ขนาด 256 KB, 512 KB หรือ 1 MB และ ทำงานด้วยความเร็วเดียวกับ CPU เพราะอยู่บน Silicon เดียวกัน <br />
<br />
Pentium Pro นี้ โดยมากจะถูกนำมาใช้เป็น Server มากกว่าที่จะเป็น Desktop PC เพราะ มันสนับสนุนการทำงานแบบ SMP หรือ Symmetric MultiProcessing ซึ่งทำให้ใช้ CPU ได้ หลายตัว บน Mainboard ตัวเดียวกันได้ ทำให้ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการทำงาน สนับสนุนเรื่องของ Fault Tolerant ด้วย เมื่อ CPU ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย อีกตัวหนึ่งก็จะทำงานแทนที่ได้ และยังช่วยสนับสนุนการประมวลผลแบบขนานอีกด้วย <br />
<br />
<br />
<b>Intel Pentium MMX ( P55C ) </b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7exbjqSfLMAQLwEGEuGA5gjQdszW1E6SsR4uBuZhS8-Oqz2z-riEWX5WIPP8JP5GKjZy9Ycv69SBr5SCjyMTbPk34hpGKyO70NxkcV9cs2lXpzA2bkXYoPSRrRxbaY2zl3YgzoI8rC-Ys/s1600-h/cpu-4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7exbjqSfLMAQLwEGEuGA5gjQdszW1E6SsR4uBuZhS8-Oqz2z-riEWX5WIPP8JP5GKjZy9Ycv69SBr5SCjyMTbPk34hpGKyO70NxkcV9cs2lXpzA2bkXYoPSRrRxbaY2zl3YgzoI8rC-Ys/s320/cpu-4.jpg" /></a><br />
</div><br />
ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1997 Intel ก็ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ของตน คือ MMX หรือ MultiMedia eXtension ขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้ช่วยเพิ่มความสามารถในด้าน Multimedia เพราะในปัจจุบันนี้ Computer และงานด้าน Multimedia แทบจะแยกกันไม่ออกแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง ทาง Intel จึงได้รวมชุดคำสั่ง MMX เข้ามาใน CPU ตระกูล Pentium ของตนด้วย เพื่อเป็นจุดขายใหม่ และ สร้าง มาตรฐานใหม่ของตนขึ้นมา <br />
<br />
มาดูกันดีกว่าครับ ว่า Pentium MMX หรือ P55C นี้ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจาก Pentium Classic หรือ P54C บ้าง <br />
<br />
อันดับแรกเลย คือชุดคำสั่ง MMX ไงละครับ อันนี้ของแน่อยู่แล้ว :-) ต่อมาคือขนาดของ Cache ภายใน ที่เพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวจากเดิม ซึ่งมี Data Cache 8 K และ Instruction Cache 8 K ก็ถูกเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น Data Cache 16 K และ Instruction Cache 16 K ในส่วนที่เปลี่ยนแปลงอีกอย่าง ก็คือ เรื่องของ ไฟเลี้ยง ซึ่ง Pentium Classic นั้น ใช้ไฟเลี้ยง 3.3 Volt แต่ Pentium MMX นั้น จะใช้ไฟเลี้ยงเป็น 2.8 Volt ที่ CPU core แต่ ในส่วนของ CPU I/O ยังคงเป็น 3.3 V. <br />
<br />
ในรายละเอียดปลีกย่อยของสถาปัตยกรรมภายใน ก็ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีบางส่วนจาก Pentium Pro ซึ่งจัดเป็น CPU ในยุคที่ 6 ของ Intel ( P6 ) ที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ได้แก่ ความสามารถในเชิงของ Branch Target Buffer หรือ BTB ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำนายผลการคำนวนล่วงหน้า ... ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลได้อีกทางหนึ่ง <br />
<br />
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา / ปรับปรุง ในเชิงของ Return Address Prediction อีกด้วย อีกทั้งยังสามารถทำการถอดรหัส และแยกการทำงานออกเป็น 2 Pipe พร้อมๆกันได้ เป็น Pipe จำนวนเต็ม และ MMX ซึ่งสามารถทำงานไปพร้อมๆกันได้เลย <br />
<br />
สรุปรายละเอียด ของ CPU Intel Pentium MMX <br />
o มีตั้งแต่รุ่นความเร็ว 166 MHz ถึง 233 MHz <br />
o ใช้เทคโนโลยี ขนาด 0.35 micron <br />
o Cache ระดับ 1 มีขนาดเป็นเท่าตัวของ Pentium Classic คือเป็น 32 K <br />
o Die Size มีขนาด 141 ตารางมิลลิเมตร <br />
o เพิ่มจำนวนของการ Write Buffer จาก 2 เป็น 4 <br />
o นำเทคโนโลยีเรื่อง Branch Prodiction ( Branch Target Buffer ) จาก Pentium Pro มาใช้ <br />
o พัฒนาเรื่อง Return Stack ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นมีใน Cyrix/IBM 6x86 <br />
o เพิ่ม step การทำงานของ U และ V Pipeline อีก 1 step <br />
o พัฒนาเกี่ยวกับการทำงานแบบขนานของ Pipeline U และ V <br />
o ชุดคำสั่ง MMX <br />
o ใช้ไฟเลี้ยงใน CPU core 2.8 V แต่ ใช้สำหรับ CPU I/O เป็น 3.3 V. <br />
<br />
Pentium MMX นี้ ยังคงเป็น CPU ในรุ่นที่ 5 ของ Intel จะจัดเป็นรุ่นที่ 5.1 ก็คงได้ ถึงแม้จะออกมาทีหลัง Pentium Pro ซึ่งจัดเป็น CPU ในรุ่นที่ 6 ของ Intel ก็ตามแต่ <br />
<br />
<br />
<b>AMD K6 </b><br />
<br />
ในวันที่ 2 เมษายน ปี ค.ศ. 1997 ทาง AMD เอง ก็ได้ทำการเปิดตัว CPU ในรุ่นที่ 6 ของตนขึ้นมาบ้าง เพื่อหมายจะมาแข่งกับ Intel Pentium MMX นั่นก็คือ AMD K6 <br />
<br />
ยังคงจำเรื่องของ NextGen ได้ไหมครับ บริษัทนี้ถูก AMD ซื้อและทำการรวมเทคโนโลยีเข้ามาด้วย ซึ่งในขณะที่ซื้อนั้น ทาง NextGen ก็ได้ออกแบบ CPU ในรุ่นที่ 6 ของตนไว้แล้ว คือ Nx686 ซึ่ง AMD ก็เลยได้ถือโครงสร้างที่น่าสนใจของ Nx686 มารวมเข้ากับ เทคโนโลยีของตน และ เพิ่มชุดคำสั่ง MMX ของตนเองเข้าไปด้วย ทำให้ได้ K6 ออกมา <br />
<br />
MMX ของ AMD K6 นั้น ถึงแม้จะมีจำนวนชุดคำสั่งเท่าๆ กัน มีคำสั่งเหมือนๆกันกับ Intel แต่กระบวนการทำงานก็แตกต่างกันไป เพราะ ถ้าทำในกระบวนการเดียวกัน ก็จะถือเป็นการล่วงละเมิดลิขสิทธิ์ของ Intel ซึ่งได้จดไว้ก่อนแล้ว <br />
<br />
แต่อย่างไรก็ตาม MMX ของ AMD ก็ใช้งานได้กับทุก Application ที่สนับสนุนการทำงานของ Intel MMX และให้ประสิทธิภาพที่ได้ผล พอๆ กัน ถึงดีกว่าด้วยซ้ำ สำหรับบางงาน ( AMD เรียก MMX ของตนว่าเป็น MMX enhanced ) <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWDZFOJYBM8BNfSIjRuHbZkT2Yq84uQ_JKZLJCgjiABQavn5eo6L-dJ3KeX7EA9VbanH6iIKtogDrDuIBzicz13a9zx-JShxRzCtM_txJPVaJ6V_kz_S2fneUzN8dzDKpovmiI3-HXGhBU/s1600-h/cpu-5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWDZFOJYBM8BNfSIjRuHbZkT2Yq84uQ_JKZLJCgjiABQavn5eo6L-dJ3KeX7EA9VbanH6iIKtogDrDuIBzicz13a9zx-JShxRzCtM_txJPVaJ6V_kz_S2fneUzN8dzDKpovmiI3-HXGhBU/s320/cpu-5.jpg" /></a><br />
</div><br />
<br />
สำหรับในรุ่นแรกนั้น AMD ได้เปิดตัวที่ความเร็ว 166, 200 และ 233 MHz ซึ่งมี transistor ภายใน 8.8 ล้านตัว และใช้เทคโนโลยี ขนาด 0.35 micron และต่อมาก็ได้เปิดตัว รุ่นความเร็วที่ระดับ 266 และ 300 MHz แล้วก็ได้หันมาใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 micon ด้วย ซึ่งในช่วงนั้นเอง ก็ได้ทำการตัดราคา CPU ของตนลงอีก ด้วย เพื่อหมายจะแข่งกับ Intel Pentium MMX ( คงไม่หวังจะแข่งกับ Pentium Pro ละครับ เพราะ เน้นตลาดคนละด้านกัน ) <br />
<br />
สิ่งที่ AMD K6 มีเพิ่มเติมเหนือไปกว่า Intel Pentium MMX ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ ขนาดของ Cache ภายใน หรือ Cache ระดับ 1 ( L1 Cache ) ซึ่งจะมีขนาดเป็นเท่าตัวของ Intel Pentium MMX ซึ่งก็คือ มี Data Cache 32 K และ Intruction Cache 32 K <br />
<br />
แต่สิ่งที่ทำให้ AMD K6 ไม่เหนือไปกว่า Intel Pentium MMX อย่างสมบูรณ์ นั่นก็คือ เรื่องของ การคำนวนเชิงทศนิยม เพราะยังคงทำได้ช้ากว่า ณ ที่ CPU ความเร็วเท่าๆกัน ซึ่งในขณะนั้น เกมส์ 3 มิติ ( 3D ) กำลังเป็นที่แพร่หลาย และเป็นที่ทราบกันว่า การคำนวนเชิง 3 มิตินั้นต้องใช้ การคำนวนเชิงทศนิยมอย่างหนัก ตรงจุดนี้เอง ที่ทำให้ Intel Pentium MMX ยังคงเหนือกว่า ( ณ ที่ความเร็วของ CPU เท่าๆกันนะ ) <br />
<br />
แต่ด้วยปัจจัยของราคา ซึ่ง ในขณะนั้นราคาของ AMD K6 300 MHz นั้นพอๆกัน หรือแพงกว่าเพียงเล็กน้อย กับ Intel Pentium MMX 233 MHz และด้วยความสามารถในการคำนวนเชิงทศนิยมของ K6 300 MHz นั้น ก็เทียบได้กับ Intel Pentium MMX 233 MHz ด้วย แต่ด้วยความเร็วด้านอื่นๆ ที่เหนือกว่า ก็เลยเป็นจุดที่ชดเชยกันได้ อย่างล้นเหลือ ... <br />
<br />
มาดู สรุปรายละเอียดของ AMD K6 กันดีกว่านะครับ <br />
o มีความเร็วตั้งแต่ 166MHz ถึง 300MHz <br />
o ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 และ/หรือ 0.35 micron <br />
o จัดเป็น CPU ในรุ่นที่ 6 ของ AMD <br />
o เป็น RISC86 CPU ซึ่งมีสถาปัตยกรรมดังนี้ <br />
มี 7 หน่วยประมวลผลแบบขนาน <br />
สามารถถอดรหัสของ x86 ไปยัง RISC86 ได้ทีละหลายๆคำสั่ง <br />
สามารถทำนายผลการประมวลผลล่วงหน้าได้ 2 ระดับ ( Branch Prediction ) <br />
สามารถคาดเดาคำสั่งที่จะต้องทำงานล่วงหน้าได้ ( Speculative Execution ) <br />
สนับสนุนการทำงานแบบ Out-Of-Order Execution ( เป็น Feature ที่ใช้ใน Pipeline ) <br />
สนับสนุนการทำงานแบบ Data Forwarding ( เป็น Feature ที่ใช้ใน Pipeline ) <br />
o มีชุดคำสั่งเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับด้าน MultiMedia ซึ่งก็คือชุดคำสั่ง MMX นั่นเอง <br />
<br />
จริงๆ แล้วในขณะที่ทาง AMD เปิดตัว K6 ได้ไม่นาน Intel ก็ได้เปิดตัว Intel Pentium II ขึ้นมาแข่ง หมายจะกลบรัศมีของ K6 ด้วย ซึ่งความจริง ก็ควรจะจัดเปรียบเทียบ K6 กับ Pentium II แต่ด้วยสถาปัตยกรรมแล้ว ก็เลยขอเปรียบเทียบ K6 กับ Pentium MMX แทน ก็แล้วกันนะครับ ... อาจเป็นการไม่แฟร์สำหรับ Pentium MMX สักหน่อย เพราะยังคงเป็น CPU ในรุ่นที่ 5 แต่ AMD K6 เป็นรุ่นที่ 6 แล้ว <br />
<br />
ตารางเปรียบเทียบ สรุปความสามารถด้านต่างๆ ระหว่าง Intel Pentium MMX , Intel Pentium Pro และ AMD K6 <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzRRZOXBUaSnCAT8QO8PvU9nN0-5iqtuaKGWEK54mAh8QB8H0UDC0pgm3uriv4mMBVBUBzypPzse-y9o4TaolE97TDf24Q6hWb5SalVYACTqYGyWM_J8HUhmluT_cJYgutFd01ufiHqSPG/s1600-h/cpu-6.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzRRZOXBUaSnCAT8QO8PvU9nN0-5iqtuaKGWEK54mAh8QB8H0UDC0pgm3uriv4mMBVBUBzypPzse-y9o4TaolE97TDf24Q6hWb5SalVYACTqYGyWM_J8HUhmluT_cJYgutFd01ufiHqSPG/s320/cpu-6.png" /></a><br />
</div><br />
<br />
รายละเอียดเพิ่มเติม <br />
<br />
• MMX<br />
MMX เทคโนโลยีนั้น เป็นชุดคำสั่งภายใน CPU ที่เพิ่มเข้ามาอีก 57 คำสั่ง เพื่อจัดการกับงานในมัลติมีเดีย โดยเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมทำงานเกี่ยวกับระบบเสียง (Audio) ภาพกราฟิก 2 มิติ ( 2D ) ภาพกราฟิก 3 มิติ ( 3D ) ,ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ และรวมไปถึงระบบการวิเคราะห์และจดจำเสียงพูด ( Voice Recognition ) และการสื่อสารผ่านโมเด็ม <br />
<br />
โดย MMX นี้ เป็นชุดคำสั่ง ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ SIMD กล่าวคือ สามารถประมวลผลด้วยคำสั่งเดียวกัน แต่ใช้ชุดข้อมูลต่างกันได้ พร้อมๆ กัน ( SIMD : Single Instrunction Multiple Data stream ) เรียกว่าเป็นการประมวลผลแบบขนาน หรือ Parallel Processing <br />
<br />
เรื่องของ SIMD นี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สถาปัตยกรรมแบบ SIMD ครับ <br />
<br />
เทคโนโลยีนี้ ทาง Intel เองก็ได้พยายามผลักดันให้ผู้ผลิต Software และ Hardware ต่างๆ ให้สร้าง Application และ Driver ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของ MMX เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ในจุดนี้อย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริง จนถึง ณ ปัจจุบันนี้ ก็มีผู้ผลิต Software เพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้นที่ออกแบบมาเพื่อ MMX <br />
<br />
อาจกล่าวได้ว่า เป็นเทคโนโลยีที่ไม่สำคัญเท่าไรนัก ... แต่จำเป็นต้องมี เพราะเหมือนกับเป็น Standard สำหรับ CPU ในขณะนี้ไปเสียแล้ว ( หลังจาก Intel ประกาศเปิดตัว MMX บริษัทผู้ผลิต CPU อื่นๆ ก็หันมาจับ MMX ใส่ CPU ของตนตามไปด้วย ทั้ง AMD , Cyrix และแม้แต่น้องใหม่ๆ อย่าง IDT หรือ RISE ก็จับเจ้า MMX นี้ใส่ลงใน CPU ของตนด้วย ) <br />
<br />
จำเป็นไหม? สำหรับ MMX กับงานด้าน Business สำหรับผม คิดว่าไม่จำเป็น เพราะแทบจะไม่ช่วยอะไรเลย เว้นเสียแต่งานด้าน Presentation ซึ่งจำเป็นต้องใช้ Multimedia มาสนับสนุนด้วย <br />
<br />
สำหรับ Software ที่สนับสนุน MMX นี้ ที่เห็นเด่นชัดเลย ก็มี Adobe Photoshop ซึ่งมี Patch ให้ upgrade ใช้คำสั่ง MMX ได้ ทำให้การทำงานในบางด้าน ทำได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด <br />
<br />
• Speculative Execution ( หรือที่ Intel เรียก Dynamic Execution )<br />
เป็นกระบวนการทำงานเมื่อทำงานคำสั่งใดๆ เสร็จเพียงครึ่งทางก่อน แล้วรอดูว่ามีคำสั่งไหน ที่ต้องการใช้ในขั้นต่อไป และเรียกใช้มันก่อน ( เป็นกระบวนการของ Out-Of-Order Execution ) ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นอีกระดับ <br />
<br />
• Out-Of-Order Execution <br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><b>ช่วงต้นยุคที่ 6 ( ของ CPU )</b><br />
</div><br />
<b>Intel Pentium Pro ( P64C ) </b><br />
ในราวๆ เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1995 Intel ก็ได้เปิดตัว CPU ในยุคที่ 6 ของตน โดยมี CodeName ว่า "P6" ซึ่งพัฒนาและปรับปรุงการทำงานเพิ่มเติมขึ้นมาอีก พอสมควรจาก Pentium Classic แต่ได้มีการย้าย Cache ภายนอก ( หรือ Cache ระดับ 2 , L2 Cache ) ซึ่งปกติแล้วจะวางอยู่บน Mainboard มาไว้ที่ แผ่น Silicon เดียวกันกับ CPU เลย ( แต่ไม่ได้อยู่ ภายใน CPU ) เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานของ L2 Cache และ การเพิ่มความเร็วในการเข้าถึง และดึง ข้อมูลจากใน Cache ... แต่ก็ด้วยเหตุที่ต้องรวมเอา Cache เข้าไปด้วยนี้เอง ทำให้ราคาของ CPU นั้นสูงเอามากๆ <br />
<br />
Intel ได้เปลี่ยนแนวคิดของตัวเอง โดยหันมาใช้การประมวลผลแบบ RISC ใน CPU ของตนบ้าง ด้วยการดัดแปลงชุดคำสั่งสำหรับ x86 ของตนให้เป็น ชุดคำสั่ง ของ RISC ที่เล็กกว่า เร็วกว่า และ ง่ายกว่าเดิม เรียกว่าเป็นชุดคำสั่ง RISC86 <br />
<br />
Pentium Pro มี ชุด Pipeline 3 ชุด ซึ่งมากกว่า Pentium Classic ซึ่งมีเพียง 2 ชุด และมีการแยกขั้นตอนการทำงานออกเป็นถึง 14 ขั้นตอน และยังสนับสนุนการ ทำงานแบบคาดเดาคำสั่งที่จะต้องเรียกใช้ล่วงหน้าได้ ซึ่งเรียกว่า Speculative Execution แต่ Intel เรียกการทำงานนี้ว่าเป็น Dynamic Execution <br />
<br />
อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป ก็คือ Interface ที่ใช้ ซึ่งจากเดิมใช้บน Socket 7 ก็หันมาใช้ที่ Socket 8 แทน ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้กับ Mainboard ของ Pentium Classic แน่นอน จะใช้รุ่นนี้ ก็ต้องซื้อ Mainboard ใหม่ด้วย <br />
<br />
สิ่งที่น่าแปลกใจ สำหรับ Pentium Pro อย่างหนึ่ง ก็คือ ขนาดของ Cache ภายใน หรือ Cache ระดับ 1 ที่ยังคงมีเพียง 16 K เท่านั้น เท่าๆ กับ Pentium Classic เลย แต่ก็ชดเชยจุดด้อยตรงนี้ด้วย Cache ระดับ 2 ที่มีขนาดใหญ่ และมีให้เลือกหลายรุ่น คือรุ่นที่มี Cache ระดับ 2 ขนาด 256 KB, 512 KB หรือ 1 MB และ ทำงานด้วยความเร็วเดียวกับ CPU เพราะอยู่บน Silicon เดียวกัน <br />
<br />
Pentium Pro นี้ โดยมากจะถูกนำมาใช้เป็น Server มากกว่าที่จะเป็น Desktop PC เพราะ มันสนับสนุนการทำงานแบบ SMP หรือ Symmetric MultiProcessing ซึ่งทำให้ใช้ CPU ได้ หลายตัว บน Mainboard ตัวเดียวกันได้ ทำให้ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการทำงาน สนับสนุนเรื่องของ Fault Tolerant ด้วย เมื่อ CPU ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย อีกตัวหนึ่งก็จะทำงานแทนที่ได้ และยังช่วยสนับสนุนการประมวลผลแบบขนานอีกด้วย <br />
<br />
<br />
<b>Intel Pentium MMX ( P55C ) </b><br />
<br />
ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1997 Intel ก็ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ของตน คือ MMX หรือ MultiMedia eXtension ขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้ช่วยเพิ่มความสามารถในด้าน Multimedia เพราะในปัจจุบันนี้ Computer และงานด้าน Multimedia แทบจะแยกกันไม่ออกแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง ทาง Intel จึงได้รวมชุดคำสั่ง MMX เข้ามาใน CPU ตระกูล Pentium ของตนด้วย เพื่อเป็นจุดขายใหม่ และ สร้าง มาตรฐานใหม่ของตนขึ้นมา <br />
<br />
มาดูกันดีกว่าครับ ว่า Pentium MMX หรือ P55C นี้ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจาก Pentium Classic หรือ P54C บ้าง <br />
<br />
อันดับแรกเลย คือชุดคำสั่ง MMX ไงละครับ อันนี้ของแน่อยู่แล้ว :-) ต่อมาคือขนาดของ Cache ภายใน ที่เพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวจากเดิม ซึ่งมี Data Cache 8 K และ Instruction Cache 8 K ก็ถูกเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น Data Cache 16 K และ Instruction Cache 16 K ในส่วนที่เปลี่ยนแปลงอีกอย่าง ก็คือ เรื่องของ ไฟเลี้ยง ซึ่ง Pentium Classic นั้น ใช้ไฟเลี้ยง 3.3 Volt แต่ Pentium MMX นั้น จะใช้ไฟเลี้ยงเป็น 2.8 Volt ที่ CPU core แต่ ในส่วนของ CPU I/O ยังคงเป็น 3.3 V. <br />
<br />
ในรายละเอียดปลีกย่อยของสถาปัตยกรรมภายใน ก็ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีบางส่วนจาก Pentium Pro ซึ่งจัดเป็น CPU ในยุคที่ 6 ของ Intel ( P6 ) ที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ได้แก่ ความสามารถในเชิงของ Branch Target Buffer หรือ BTB ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำนายผลการคำนวนล่วงหน้า ... ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลได้อีกทางหนึ่ง <br />
<br />
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา / ปรับปรุง ในเชิงของ Return Address Prediction อีกด้วย อีกทั้งยังสามารถทำการถอดรหัส และแยกการทำงานออกเป็น 2 Pipe พร้อมๆกันได้ เป็น Pipe จำนวนเต็ม และ MMX ซึ่งสามารถทำงานไปพร้อมๆกันได้เลย <br />
<br />
สรุปรายละเอียด ของ CPU Intel Pentium MMX <br />
o มีตั้งแต่รุ่นความเร็ว 166 MHz ถึง 233 MHz <br />
o ใช้เทคโนโลยี ขนาด 0.35 micron <br />
o Cache ระดับ 1 มีขนาดเป็นเท่าตัวของ Pentium Classic คือเป็น 32 K <br />
o Die Size มีขนาด 141 ตารางมิลลิเมตร <br />
o เพิ่มจำนวนของการ Write Buffer จาก 2 เป็น 4 <br />
o นำเทคโนโลยีเรื่อง Branch Prodiction ( Branch Target Buffer ) จาก Pentium Pro มาใช้ <br />
o พัฒนาเรื่อง Return Stack ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นมีใน Cyrix/IBM 6x86 <br />
o เพิ่ม step การทำงานของ U และ V Pipeline อีก 1 step <br />
o พัฒนาเกี่ยวกับการทำงานแบบขนานของ Pipeline U และ V <br />
o ชุดคำสั่ง MMX <br />
o ใช้ไฟเลี้ยงใน CPU core 2.8 V แต่ ใช้สำหรับ CPU I/O เป็น 3.3 V. <br />
<br />
<br />
Pentium MMX นี้ ยังคงเป็น CPU ในรุ่นที่ 5 ของ Intel จะจัดเป็นรุ่นที่ 5.1 ก็คงได้ ถึงแม้จะออกมาทีหลัง Pentium Pro ซึ่งจัดเป็น CPU ในรุ่นที่ 6 ของ Intel ก็ตามแต่ <br />
<br />
<br />
<br />
<b>AMD K6 </b><br />
<br />
ในวันที่ 2 เมษายน ปี ค.ศ. 1997 ทาง AMD เอง ก็ได้ทำการเปิดตัว CPU ในรุ่นที่ 6 ของตนขึ้นมาบ้าง เพื่อหมายจะมาแข่งกับ Intel Pentium MMX นั่นก็คือ AMD K6 <br />
<br />
ยังคงจำเรื่องของ NextGen ได้ไหมครับ บริษัทนี้ถูก AMD ซื้อและทำการรวมเทคโนโลยีเข้ามาด้วย ซึ่งในขณะที่ซื้อนั้น ทาง NextGen ก็ได้ออกแบบ CPU ในรุ่นที่ 6 ของตนไว้แล้ว คือ Nx686 ซึ่ง AMD ก็เลยได้ถือโครงสร้างที่น่าสนใจของ Nx686 มารวมเข้ากับ เทคโนโลยีของตน และ เพิ่มชุดคำสั่ง MMX ของตนเองเข้าไปด้วย ทำให้ได้ K6 ออกมา <br />
<br />
MMX ของ AMD K6 นั้น ถึงแม้จะมีจำนวนชุดคำสั่งเท่าๆ กัน มีคำสั่งเหมือนๆกันกับ Intel แต่กระบวนการทำงานก็แตกต่างกันไป เพราะ ถ้าทำในกระบวนการเดียวกัน ก็จะถือเป็นการล่วงละเมิดลิขสิทธิ์ของ Intel ซึ่งได้จดไว้ก่อนแล้ว <br />
<br />
แต่อย่างไรก็ตาม MMX ของ AMD ก็ใช้งานได้กับทุก Application ที่สนับสนุนการทำงานของ Intel MMX และให้ประสิทธิภาพที่ได้ผล พอๆ กัน ถึงดีกว่าด้วยซ้ำ สำหรับบางงาน ( AMD เรียก MMX ของตนว่าเป็น MMX enhanced ) <br />
<br />
สำหรับในรุ่นแรกนั้น AMD ได้เปิดตัวที่ความเร็ว 166, 200 และ 233 MHz ซึ่งมี transistor ภายใน 8.8 ล้านตัว และใช้เทคโนโลยี ขนาด 0.35 micron และต่อมาก็ได้เปิดตัว รุ่นความเร็วที่ระดับ 266 และ 300 MHz แล้วก็ได้หันมาใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 micon ด้วย ซึ่งในช่วงนั้นเอง ก็ได้ทำการตัดราคา CPU ของตนลงอีก ด้วย เพื่อหมายจะแข่งกับ Intel Pentium MMX ( คงไม่หวังจะแข่งกับ Pentium Pro ละครับ เพราะ เน้นตลาดคนละด้านกัน ) <br />
<br />
สิ่งที่ AMD K6 มีเพิ่มเติมเหนือไปกว่า Intel Pentium MMX ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ ขนาดของ Cache ภายใน หรือ Cache ระดับ 1 ( L1 Cache ) ซึ่งจะมีขนาดเป็นเท่าตัวของ Intel Pentium MMX ซึ่งก็คือ มี Data Cache 32 K และ Intruction Cache 32 K <br />
<br />
แต่สิ่งที่ทำให้ AMD K6 ไม่เหนือไปกว่า Intel Pentium MMX อย่างสมบูรณ์ นั่นก็คือ เรื่องของ การคำนวนเชิงทศนิยม เพราะยังคงทำได้ช้ากว่า ณ ที่ CPU ความเร็วเท่าๆกัน ซึ่งในขณะนั้น เกมส์ 3 มิติ ( 3D ) กำลังเป็นที่แพร่หลาย และเป็นที่ทราบกันว่า การคำนวนเชิง 3 มิตินั้นต้องใช้ การคำนวนเชิงทศนิยมอย่างหนัก ตรงจุดนี้เอง ที่ทำให้ Intel Pentium MMX ยังคงเหนือกว่า ( ณ ที่ความเร็วของ CPU เท่าๆกันนะ ) <br />
<br />
แต่ด้วยปัจจัยของราคา ซึ่ง ในขณะนั้นราคาของ AMD K6 300 MHz นั้นพอๆกัน หรือแพงกว่าเพียงเล็กน้อย กับ Intel Pentium MMX 233 MHz และด้วยความสามารถในการคำนวนเชิงทศนิยมของ K6 300 MHz นั้น ก็เทียบได้กับ Intel Pentium MMX 233 MHz ด้วย แต่ด้วยความเร็วด้านอื่นๆ ที่เหนือกว่า ก็เลยเป็นจุดที่ชดเชยกันได้ อย่างล้นเหลือ ... <br />
<br />
มาดู สรุปรายละเอียดของ AMD K6 กันดีกว่านะครับ <br />
o มีความเร็วตั้งแต่ 166MHz ถึง 300MHz <br />
o ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 และ/หรือ 0.35 micron <br />
o จัดเป็น CPU ในรุ่นที่ 6 ของ AMD <br />
o เป็น RISC86 CPU ซึ่งมีสถาปัตยกรรมดังนี้ <br />
มี 7 หน่วยประมวลผลแบบขนาน <br />
สามารถถอดรหัสของ x86 ไปยัง RISC86 ได้ทีละหลายๆคำสั่ง <br />
สามารถทำนายผลการประมวลผลล่วงหน้าได้ 2 ระดับ ( Branch Prediction ) <br />
สามารถคาดเดาคำสั่งที่จะต้องทำงานล่วงหน้าได้ ( Speculative Execution ) <br />
สนับสนุนการทำงานแบบ Out-Of-Order Execution ( เป็น Feature ที่ใช้ใน Pipeline ) <br />
สนับสนุนการทำงานแบบ Data Forwarding ( เป็น Feature ที่ใช้ใน Pipeline ) <br />
o มีชุดคำสั่งเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับด้าน MultiMedia ซึ่งก็คือชุดคำสั่ง MMX นั่นเอง <br />
<br />
จริงๆ แล้วในขณะที่ทาง AMD เปิดตัว K6 ได้ไม่นาน Intel ก็ได้เปิดตัว Intel Pentium II ขึ้นมาแข่ง หมายจะกลบรัศมีของ K6 ด้วย ซึ่งความจริง ก็ควรจะจัดเปรียบเทียบ K6 กับ Pentium II แต่ด้วยสถาปัตยกรรมแล้ว ก็เลยขอเปรียบเทียบ K6 กับ Pentium MMX แทน ก็แล้วกันนะครับ ... อาจเป็นการไม่แฟร์สำหรับ Pentium MMX สักหน่อย เพราะยังคงเป็น CPU ในรุ่นที่ 5 แต่ AMD K6 เป็นรุ่นที่ 6 แล้ว <br />
<br />
รายละเอียดเพิ่มเติม <br />
<br />
• MMX<br />
MMX เทคโนโลยีนั้น เป็นชุดคำสั่งภายใน CPU ที่เพิ่มเข้ามาอีก 57 คำสั่ง เพื่อจัดการกับงานในมัลติมีเดีย โดยเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรมทำงานเกี่ยวกับระบบเสียง (Audio) ภาพกราฟิก 2 มิติ ( 2D ) ภาพกราฟิก 3 มิติ ( 3D ) ,ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ และรวมไปถึงระบบการวิเคราะห์และจดจำเสียงพูด ( Voice Recognition ) และการสื่อสารผ่านโมเด็ม <br />
<br />
โดย MMX นี้ เป็นชุดคำสั่ง ที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ SIMD กล่าวคือ สามารถประมวลผลด้วยคำสั่งเดียวกัน แต่ใช้ชุดข้อมูลต่างกันได้ พร้อมๆ กัน ( SIMD : Single Instrunction Multiple Data stream ) เรียกว่าเป็นการประมวลผลแบบขนาน หรือ Parallel Processing <br />
<br />
เรื่องของ SIMD นี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ สถาปัตยกรรมแบบ SIMD ครับ <br />
<br />
เทคโนโลยีนี้ ทาง Intel เองก็ได้พยายามผลักดันให้ผู้ผลิต Software และ Hardware ต่างๆ ให้สร้าง Application และ Driver ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของ MMX เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ในจุดนี้อย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริง จนถึง ณ ปัจจุบันนี้ ก็มีผู้ผลิต Software เพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้นที่ออกแบบมาเพื่อ MMX <br />
<br />
อาจกล่าวได้ว่า เป็นเทคโนโลยีที่ไม่สำคัญเท่าไรนัก ... แต่จำเป็นต้องมี เพราะเหมือนกับเป็น Standard สำหรับ CPU ในขณะนี้ไปเสียแล้ว ( หลังจาก Intel ประกาศเปิดตัว MMX บริษัทผู้ผลิต CPU อื่นๆ ก็หันมาจับ MMX ใส่ CPU ของตนตามไปด้วย ทั้ง AMD , Cyrix และแม้แต่น้องใหม่ๆ อย่าง IDT หรือ RISE ก็จับเจ้า MMX นี้ใส่ลงใน CPU ของตนด้วย ) <br />
<br />
จำเป็นไหม? สำหรับ MMX กับงานด้าน Business สำหรับผม คิดว่าไม่จำเป็น เพราะแทบจะไม่ช่วยอะไรเลย เว้นเสียแต่งานด้าน Presentation ซึ่งจำเป็นต้องใช้ Multimedia มาสนับสนุนด้วย <br />
<br />
สำหรับ Software ที่สนับสนุน MMX นี้ ที่เห็นเด่นชัดเลย ก็มี Adobe Photoshop ซึ่งมี Patch ให้ upgrade ใช้คำสั่ง MMX ได้ ทำให้การทำงานในบางด้าน ทำได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด <br />
<br />
• Speculative Execution ( หรือที่ Intel เรียก Dynamic Execution )<br />
เป็นกระบวนการทำงานเมื่อทำงานคำสั่งใดๆ เสร็จเพียงครึ่งทางก่อน แล้วรอดูว่ามีคำสั่งไหน ที่ต้องการใช้ในขั้นต่อไป และเรียกใช้มันก่อน ( เป็นกระบวนการของ Out-Of-Order Execution ) ทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นอีกระดับ <br />
<br />
• Out-Of-Order Execution<br />
<br />
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Out-Of-Order Execution ครับ <br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><b>เมื่อจักรพรรดิตกบัลลังก์ </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b>[ 07 August 1999 ] </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b><br />
</b><br />
</div><b>Intel Pentium II ( Klamath/Deschute ) </b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzauGzXRJ6S0HG_sN19R3C9xcfiy_D4L5eTw_rM16-sKVGN9RLEv5bawLQPWnnyJzkOOYb4Ff54xEGOvcuxDhE_Mpuv8F4Ske1aGE2gsxgWqcr_Y-nSolxA5ZlRasNEy1xy5tr-M4YlXk2/s1600-h/cpu-7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzauGzXRJ6S0HG_sN19R3C9xcfiy_D4L5eTw_rM16-sKVGN9RLEv5bawLQPWnnyJzkOOYb4Ff54xEGOvcuxDhE_Mpuv8F4Ske1aGE2gsxgWqcr_Y-nSolxA5ZlRasNEy1xy5tr-M4YlXk2/s320/cpu-7.jpg" /></a><br />
</div><br />
ในกลางปี 1996 Intel ก็ได้ส่งตัว CPU ในตระกูล x86 ตัวใหม่ของตน ออกสู่ท้องตลาด นั่นก็คือ Intel Pentium II ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เหมือน Pentium Pro ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่งนั่นเอง เพราะโดยสถาปัตยกรรมทั่วๆไปแล้ว ก็ไม่ต่างจาก Pentium Pro เลย เพียงแต่มีการปรับแต่งบางอย่างให้มีความสมดุลย์ และ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เช่นมีการใส่คำสั่ง MMX เข้าไป และมี การปรับแต่ง Interface เสียใหม่ โดยจากเดิมนั้นใช้ Interface แบบ Socket เช่น Intel Pentium Pro ใช้ Socket 8 หรือ Intel Pentium MMX ใช้ Socket 7 ( และ/หรือ Socket 5 ) ก็หันมาใช้ Interface เป็นแบบ Slot แทน และเปลี่ยน Package ของ CPU จากที่เป็น PGA ( Pin-Grid Array ) มาเป็น SECC ( Single Edge Contact Cartridge ) ซึ่งมีลักษณะ เหมือนกับ กล่องวีดีโอเทป และ ได้มีการย้ายตำแหน่งของ Cache ระดับ 2 ออกมาไว้ต่างหาก ถึงแม้ว่าจะอยู่ใน SECC เหมือนกับ CPU แต่ก็ไม่ได้บรรจุไว้บน Chip ของ CPU อย่าง Pentium Pro และ ทำงานด้วยความเร็วเป็นครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU ( เช่น CPU ความเร็ว 300 MHz เจ้า Cache ระดับ 2 นี้ ก็จะทำงานที่ความเร็วเพียง 150 MHz เท่านั้น ) และยังได้เพิ่มขนาดของ Cache ระดับ 1 เป็น 32K ซึ่งเป็น 2 เท่าของ Intel Pentium Pro เลยทีเดียว <br />
<br />
รูปข้างล่างนี้ แสดง Package ของ Intel Pentium II ทั้งด้านหน้า และ ด้านหลัง <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKjta-XLvDGkZ7upjRACQ46_ApaIJ8AEl_kE6_RZul9SzMHRCnTK2yhEiKE-R7fm0nFYUzi38NhyPEPiIJ0IHM9cfqMB_SNcDSkNrKFzLqAWJuVGLiwA-rC5gC2TFlF3WpT_Ur-UbAiWDz/s1600-h/cpu-8.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKjta-XLvDGkZ7upjRACQ46_ApaIJ8AEl_kE6_RZul9SzMHRCnTK2yhEiKE-R7fm0nFYUzi38NhyPEPiIJ0IHM9cfqMB_SNcDSkNrKFzLqAWJuVGLiwA-rC5gC2TFlF3WpT_Ur-UbAiWDz/s320/cpu-8.jpg" /></a><br />
</div><br />
เรียก Interface ใหม่ที่ใช้ต่อเชื่อมระหว่าง CPU กับ Mainboard ว่า เป็น Slot-1 ( สล็อตวัน ) โดยสาเหตุหลัก ที่ Intel ต้องเปลี่ยนมาใช้เป็น Slot-1 นั้น ทาง Intel อ้างว่า เพื่อลดปัญหาคอขวดระหว่าง Cache ระดับ 2 และ หน่วยความจำหลัก ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ ที่เป็นตัวหน่วงประสิทธิภาพของระบบ <br />
<br />
แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว คาดว่าจุดประสงค์หลัก จริงๆ แล้ว น่าจะเป็นเพราะเรื่องของลิขสิทธิ์มากกว่า ... เพราะเมื่อ Intel ย้ายมาใช้เป็น Slot-1 แล้วก็ได้มีการจดลิขสิทธิ์ไว้ทันที บริษัทผู้ผลิต CPU เจ้าอื่นๆ หากต้องการที่จะผลิต CPU ที่ใช้ Slot-1 ด้วย ก็ต้องจ่ายค่าสิทธิบัตรให้กับทาง Intel เป็นจำนวนไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว <br />
<br />
CPU Intel Pentium II นั้น มี 2 รุ่น ... รุ่นแรกที่ออกสู่ท้องตลาดนั้น ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.35 Micron และ ใช้ไฟเลี้ยง ( Vcore ) 2.8 Volt มี Code Name ว่า Klamath ซึ่ง CPU รุ่นนี้จัดว่ามีความร้อนสูง ต่อมา ทาง Intel จึงได้ทำการลดขนาดของแผ่นเวเฟอร์ลง หันมาใช้เป็นขนาด 0.25 Micron แทน และใช้ไฟเลี้ยงเป็น 2.0 Volt แทน โดยรุ่นนี้จะมี Code Name ว่า Deschute <br />
<br />
พร้อมกันนั้น ก็ได้เปิดตัว chipset ตัวใหม่ของตน ซึ่งสนับสนุนการทำงานถึง 100 MHz ด้วย ... นั่นก็คือ chipset Intel 440BX <br />
<br />
เอาละครับ ลองมาดู Spec รายละเอียดของ Pentium II กันดีกว่านะครับ <br />
o มีตั้งแต่รุ่น 233 MHz ถึง 450 MHz ( 233-333 MHz ใช้ FSB 66 MHz , 350-450 MHz ใช้ FSB 100 MHz ) <br />
o Deschute Core นั้น ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 Micron เพื่อเพิ่มความถี่ของ core ได้มากขึ้น และ ใช้ไฟน้อยลง <br />
o มี MMX ด้วย แต่เหนือชั้นไปว่า Intel Pentium MMX เพราะสามารถทำงานได้ทีละ 2 ชุดคำสั่ง MMX ได้พร้อมๆกัน <br />
o มีสถาปัตยกรรมแบบ Dual Independent Bus ( DIB ) โดยแบ่งเป็น System Bus และ Cache Bus เพื่อเพิ่มความกว้างของเส้นทางข้อมูล และ เพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม <br />
o รุ่น 350, 400 และ 450 MHz นั้น ใช้ความเร็วบัสของระบบ ( FSB ) เพิ่มจากเดิม 66 MHz เป็น 100 MHz เพื่อดึงประสิทธิภาพให้เกิดมากที่สุด <br />
o Cache ระดับ 1 ขนาด 32 K แบ่งเป็น Cache ข้อมูล 16 K และ Cache คำสั่งอีก 16 K <br />
o Cache ระดับ 2 อยู่ใน SECC เดียวกัน ขนาด 512 K ทำงานที่ความเร็วเป็นครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU <br />
o รุ่น 350, 400 และ 450 MHz นั้น สามารถอ้างตำแหน่งของหน่วยความจำได้มากถึง 4 GB <br />
o สามารถใช้ร่วมกันเป็น Dual Processor ได้ โดยจะสามารถอ้างหน่วยความจำหลักได้ถึง 64 GB <br />
o และ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการตรวจสอบความผิดพลาดของ Cache ระดับ 2 อีกหลายอย่าง <br />
CPU ในสายการผลิตที่ใช้ Code Name ว่า Deschute นั้น ทาง Intel ได้มีการป้องกันการ OverClock CPU ของตน โดยได้มีการ Lock ค่าตัวคูณ ให้คงที่ตลอด ไม่ว่าจะปรับแต่งอย่างไร ก็ไม่มีผล ( Multiplier Lock ) เพื่อลดปัญหาการ Remark CPU ของตน และ เพื่อปิดกั้นการ OverClock CPU ของตนอีกทางหนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไร้ผล เพราะ ก็ยังคงมีการ OverClock CPU ตระกูลนี้กันให้สนุกมือเลยทีเดียว :-) <br />
<br />
<br />
<b>Intel Pentium II Xeon </b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgcAzBAa3Ma-AV3LCCPsiTS49QhyphenhyphenOGmzrA19cFio1Pq0jRvdmU3umHksrXv2UvUprhc2cFPH5lq1LCRpfyseoZn0EJLEu5u5pv1rGJVkqCnqIiOq5z_ZwoZzaXSNyUpWsDi71N6miapDk0o/s1600-h/cpu-9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgcAzBAa3Ma-AV3LCCPsiTS49QhyphenhyphenOGmzrA19cFio1Pq0jRvdmU3umHksrXv2UvUprhc2cFPH5lq1LCRpfyseoZn0EJLEu5u5pv1rGJVkqCnqIiOq5z_ZwoZzaXSNyUpWsDi71N6miapDk0o/s320/cpu-9.jpg" /></a><br />
</div><br />
<br />
Pentium II Xeon นั้น ถูกพัฒนาเพื่อเน้นให้ใช้งานสำหรับ Server โดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าสถาปัตยกรรมโดยทั่วๆ ไป จะคล้ายๆ กับ Pentium II แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่าง เห็นได้ชัดนั้น ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ดังนี้ <br />
o ใช้ Interface ใหม่ เป็น Slot-2 ( สล็อตทู ) และ ไม่สามารถใช้ด้วยกันได้กับ Slot-1 <br />
o ใช้งานบน Mainboard ที่ใช้ chipset 440GX ( AGP set ) และ/หรือ 440NX ( PCI set ) <br />
o มีหน่วยความจำแคช L2 ทั้งในขนาด 450MHz 512 กิโลไบต์ และ 400MHz 512 กิโลไบต์ หรือ 1 เมกะไบต์ <br />
o ใช้ข้อมูลร่วมกันกับส่วนที่เหลือของระบบผ่านทางซิสเต็มบัสความจุสูงที่ทำงานได้ครั้งละหลายรายการ และมีความเร็ว 100MHz <br />
o เพิ่มหน่วยความจำได้สูงถึง 64 กิกะไบต์ <br />
o ซิสเต็มบัสสนับสนุนการปฏิบัติตามคำสั่งหลายรายการพร้อมกัน เพื่อขยายแบนด์วิธ และยังสนับสนุนการทำงานโปรเซสเซอร์ได้สูงสุดถึง 8 ตัว <br />
o PSE36 การขยายการสนับสนุนหน่วยความจำ ให้เป็นขนาด 36 บิตที่ทำให้ระบบปฏิบัติการใช้หน่วยความจำขนาดใหญ่กว่า 4 กิกะไบต์ได้ ซึ่งจะทำให้ระบบ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นสำหรับการใช้งานแอพพลิเคชั่นที่ต้องอ่านข้อมูลมากๆ และใช้พื้นที่หน่วยความจำมากในการทำงาน <br />
o สนับสนุนคลัสเตอร์ หรือความสามารถในการจัดระบบเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ โปรเซสเซอร์ 4 ตัวหลายระบบเป็นส่วนเดียวกันได้ <br />
o มีระบบช่วยตรวจจับความร้อน โดย Diode ที่อยู่บน PCB จะช่วยตรวจจับอุณหภูมิ และ สามารถหยุดการทำงาน หากว่าอุณหภูมิสูงเกินไปได้ <br />
o มีระบบตรวจสอบ และ แก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูล ( ECC : Error Correction Code ) <br />
o มีระบบตรวจสอบการทำงานแบบซ้ำซ้อน ( FRC : Functional Redundancy Checking ) <br />
โดยพื้นฐานของราคา และ เป้าหมายทางการตลาดแล้ว ก็ดูจะไม่เหมาะกับ HomeUser หรือผู้ใช้งานระดับทั่วไป ละครับ <br />
<br />
<br />
<b>Intel Celeron ( SEPP / PPGA 370 ) </b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHKPtcvH_UTktXYWEbHNa0l7X3BoYeOnCTV9jLd5z5X-vPxg4fAxpRpTGNLUO9GcQWsQn58JqvBnGGPJwwHAVEAZHYTE-lBwSoYnb03ZOIvS6UlbJwASQSJ2XbMdfAOZy7QXhKJx2kBHTQ/s1600-h/cpu-10.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhHKPtcvH_UTktXYWEbHNa0l7X3BoYeOnCTV9jLd5z5X-vPxg4fAxpRpTGNLUO9GcQWsQn58JqvBnGGPJwwHAVEAZHYTE-lBwSoYnb03ZOIvS6UlbJwASQSJ2XbMdfAOZy7QXhKJx2kBHTQ/s320/cpu-10.jpg" /></a><br />
</div><br />
ถึงแม้ว่า Intel Pentium II ที่ออกมานั้น จะมีประสิทธิภาพที่ดูแล้วเด่น และ น่าสนใจมากๆ แต่ก็ติดปัญหาที่ราคานั้น จัดว่าสูงมาก ทำให้ไม่สามารถเข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดระดับล่างได้ ... ทาง Intel จึงได้เปิดตัว Celeron ขึ้น โดยใช้โครงสร้างภายในมาจาก Intel Pentium II รุ่น Deschute นั่นเอง เพียงแต่ตัดเอา Cache ระดับ 2 ออก และ เปลี่ยน Package เล็กน้อย เป็น SEPP ( Singel Edge Processor Package )และได้ผลิตออกมา 2 รุ่นคือ ที่ความเร็ว 266 และ 300 MHz โดยมี CodeName ว่า Covinton ซึ่งราคานั้น ก็จัดว่าถูกกว่า Pentium II ที่ความเร็วเท่าๆ กัน ครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว <br />
<br />
แต่ดูเหมือนว่า การตัด Cache ระดับ 2 ออกไปนั้น มีผลต่อประสิทธิภาพโดยรวมเป็นอย่างมาก และ ยิ่งเป็นจุดที่ทำให้ คู่แข่งได้มีโอกาสซ้ำเติมตรงนี้ และ ใช้ข้อบกพร่องตรงนี้ของ Celeron มาพัฒนา CPU ของตนให้เป็นจุดเด่นแทน ก็เลยทำให้ทาง Intel ตัดสินใจใส่ Cache ระดับ 2 เข้าไปด้วย แต่ไม่ได้เอาไปไว้บน PCB เดียวกัน อย่าง Pentium II หากแต่ นำไปวางไว้บนแผ่น Siligon เดียวกันกับ CPU เลย ทำให้ Cache ระดับ 2 ที่เพิ่มเข้าไปนั้น ทำงานด้วยความเร็ว เท่ากันกับ CPU เลยทีเดียว <br />
<br />
แต่ขนาดของ Cache ระดับ 2 นั้น หากทาง Intel เพิ่มเข้าไป ในจำนวนเท่าๆกับ Pentium II ( คือ 512 K ) ผลก็คือ ราคานั้น อาจจะพอๆกัน หรือ อาจจะแพงกว่า Pentium II ซะด้วยซ้ำ ... Intel ไม่ทำเช่นนั้นแน่ๆ ดังนั้น ขนาดของ Cache ระดับ 2 ที่ Intel ใส่เพิ่มเข้าไป จึงมีเพียงแค่ 128K หรือเป็น 1/4 ของขนาดของ Cache ระดับ 2 ใน Pentium II เท่านั้น <br />
<br />
Celeron ที่เพิ่ม Cache ระดับ 2 เข้าไปนั้น ก็มีตั้งแต่รุ่นความเร็ว 300 MHz เป็นต้นไป เพื่อไม่ให้สับสนในการเลือกซื้อ เพราะในรุ่นที่ไม่มี Cache ระดับ 2 ก็มีรุ่นที่มีความเร็ว 300 MHz ด้วย ทาง Intel จึงเรียกชื่อ Celeron รุ่น 300 MHz ที่มี Cache ระดับ 2 นี้ว่า เป็นรุ่น Celeron 300 A แทน และ ให้ชื่อสายการผลิตนี้ว่า Mendocino <br />
<br />
ต่อมา เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายลงอีก ทาง Intel จึงได้ตัดสินใจผลิต Celeron Version ใหม่ ที่ใช้ Core เดิม หากแต่เปลี่ยน Interface หันกลับมาใช้เป็น Socket ตามเดิม แต่ว่า ได้ออกแบบใหม่ ( อีกแล้ว ) เป็น Socket ที่มีจำนวนขา 370 ขา ( Socket 7 นั้นมี 321 ขา ) และเรียก Package ของ Celeron ใหม่นี้ว่าเป็น PPGA <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQ2np38w2x6KPdAMrCCosDWftKGM_aCQQ6VSVXu4dN46Yi-xTqMvxuDvagLwocmQdEYJcSnleckRL9Udp_dQwEMV0b4kMTHFJEXgjaISPNl8S3NF5EZvtq1haUByyAPaXGmK_Y4GPdaulx/s1600-h/cpu-11.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQ2np38w2x6KPdAMrCCosDWftKGM_aCQQ6VSVXu4dN46Yi-xTqMvxuDvagLwocmQdEYJcSnleckRL9Udp_dQwEMV0b4kMTHFJEXgjaISPNl8S3NF5EZvtq1haUByyAPaXGmK_Y4GPdaulx/s320/cpu-11.jpg" /></a><br />
</div><br />
รูปแสดงการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของ CPGA ( 321 Pin ใช้กับ Socket 7 ) และ PPGA ( 370 Pin ใช้กับ Socket 370 ) <br />
<br />
สถาปัตยกรรมโดยทั่วไปนั้น ก็ เหมือนๆกับ Pentium II เพราะใช้ Core หลัก เดียวกัน มีการล็อคตัวคูณสัญญาณนาฬิกาเหมือนกัน แตกต่างกันก็ตรงที่ Celeron นั้น ยังคงใช้ความเร็ว Bus ของระบบเป็น 66 MHz ตลอดมา และ ใช้ผลิตรุ่นที่เป็น SEPP ( ใช้ Interface เป็น Slot-1 ) จนกระทั่งรุ่นความเร็ว 433 MHz จึงเลิกผลิต และ หันไปเน้นการผลิตแบบที่เป็น PPGA แทน <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1rqePntfRep0IHaoPKN1xLDa4XjBSKeYdjEwV2tiD9fBEVlYHXebyrlSzKZLa2YUURKeYeAp3yZZ1NMZOLFGu30oiu0qOsKZYCZ2a-kgJFabqVoGyNMywjKV5KZCg98XDVnV_QlAzQMj3/s1600-h/cpu-12.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1rqePntfRep0IHaoPKN1xLDa4XjBSKeYdjEwV2tiD9fBEVlYHXebyrlSzKZLa2YUURKeYeAp3yZZ1NMZOLFGu30oiu0qOsKZYCZ2a-kgJFabqVoGyNMywjKV5KZCg98XDVnV_QlAzQMj3/s320/cpu-12.jpg" /></a><br />
</div><br />
<div style="text-align: center;">รูปแสดงรูปร่าง และ รายละเอียดของ SEPP ของ Celeron รุ่น Mendocino Core <br />
</div><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiOjWSKvOLv1BOrYGjdniSa8pYNwHRPHAWynGudSxd3rwQjK6kORyrCh-4pmBkeT5IBGafQ_PeLIsY6lMaeVoWy7z4Pvp9ndd6huVUAXmIDJ4psdO7XWUkpS1VZRnjgXVjqIpy1Zt3zE_Dx/s1600-h/cpu-13.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiOjWSKvOLv1BOrYGjdniSa8pYNwHRPHAWynGudSxd3rwQjK6kORyrCh-4pmBkeT5IBGafQ_PeLIsY6lMaeVoWy7z4Pvp9ndd6huVUAXmIDJ4psdO7XWUkpS1VZRnjgXVjqIpy1Zt3zE_Dx/s320/cpu-13.jpg" /></a><br />
</div><br />
เปรียบเทียบ SEPP, SECC ตั้งแต่ Celeron ( Covinton ) , Celeron ( Mendocino ) และ Pentium II ( Deschute )<br />
<br />
<br />
<br />
<b>AMD K6-2 3DNow!</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjiBvtzvvr-extkRnkKIZSkQdZUIHkTdRCTFbVrLGTuakmtRTe1RDVN3MCTTfw8WHhyphenhyphenQ1vFbFHMdQ0pG17cZKxYYvTOJlLG8-lD9dC4_UiyvN_zYqbrWAgQ8J2Ie_fDv0OGaVU9rG9-PI6O/s1600-h/cpu-14.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjiBvtzvvr-extkRnkKIZSkQdZUIHkTdRCTFbVrLGTuakmtRTe1RDVN3MCTTfw8WHhyphenhyphenQ1vFbFHMdQ0pG17cZKxYYvTOJlLG8-lD9dC4_UiyvN_zYqbrWAgQ8J2Ie_fDv0OGaVU9rG9-PI6O/s320/cpu-14.jpg" /></a><br />
</div><br />
หลังจากที่พลาดท่ามาแล้วกับ รุ่น K6 ซึ่ง มีหน่วยประมวลผลด้านทศนิยมนั้นด้อยกว่าของ Intel อยู่ ตั้งแต่ 1 - 2 ระดับ ( ประสิทธิภาพ FPU ของ K6 300 MHz นั้น พอๆ กับ Pentium MMX 233 MHz เท่านั้น ทั้งๆ ที่ความเร็วห่างกันอยู่ถึง 2 ระดับ ) ทำให้ CPU รุ่น K6 นั้น ไม่เป็นที่แพร่หลาย สำหรับ ผู้ที่ต้องการพลังในการประมวลผลด้านทศนิยมเป็นอย่างมาก ... แน่นอน ... กับเกมส์ 3D ที่กำลังเป็นที่นิยมนั้น K6 ทำคะแนนได้ไม่ดีเลย จัดว่าแย่เอามากๆ แต่ถ้าเป็นการทำงานด้านอื่นๆ นั้น โดยเฉพาะกับงานด้าน Office Application หรืองานที่ต้องการใช้การประมวลผลด้านเลขจำนวนเต็ม ( เกมส์ 2D ก็ใช่ ) นั้น K6 กลับทำได้ดีเกินคุ้มเลยทีเดียว <br />
<br />
AMD ก็ได้เล็งเห็นถึงข้อบกพร่องตรงนั้นของตน และก็คิดหาทางแก้ไข ... แต่การออกแบบโครงสร้างใหม่นั้น ไม่ใช่ง่ายๆ นอกจากจะใช้เวลาไม่ใช่น้อยๆแล้ว ยังต้องทุ่มทุนในการพัฒนาอีกมากด้วย ซึ่งหาก AMD เลือกทางนี้ ก็จะไม่มี CPU ออกมาแข่งกับ Intel และ ปล่อยให้ Cyrix นั้นแข่งชิงความเป็นเจ้าตลาดกับ Intel เท่านั้น ... ซึ่งแน่นอนไม่ว่าผลการชิงนั้น จะเป็นอย่างไร AMD ก็คงไม่ยอมแน่ๆ เพราะ ตนได้แต่เพียงมองดูเขาชิงกัน ... AMD ต้องการมีส่วนร่วมด้วย ... แต่จะทำอย่างไร ล่ะ ในเมื่อ FPU ของ AMD นั้น สู้กับทาง Intel ไม่ได้เลย แล้วจะทำอย่างไรดี? <br />
<br />
3DNow! จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดย 3DNow! นี้ ก็เหมือนๆ กับ ชุดคำสั่ง MMX ของ Intel คือเป็น คำสั่งใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อการหนึ่งการใด ... ใช่ครับ 3DNow! นี้ มีมาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวนเชิง FPU เพื่อใช้กับเกมส์ หรือ Application ที่มีการคำนวนภาพแบบ 3 มิติ ( 3D ) นั่นเอง <br />
<br />
ก็ใช่ว่า 3DNow! ที่เกิดขึ้นนี้ จะรุ่ง และ เพิ่มประสิทธิภาพของ CPU ได้เต็มที่ซะทีเดียวนัก เพราะ 3DNow! นี้ เป็นชุดคำสั่งภายใน ที่จำเป็นต้องมี Driver และ/หรือ Software ที่ใช้นั้น ก็ต้องมีการเรียกใช้ และมีการปรับแต่งให้เข้ากับ 3DNow! ด้วย จึงจะทำให้ มันใช้งานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด <br />
<br />
แต่อย่างไรก็ดี มีบริษัทผู้ผลิตเกมส์ และ ผลิต Graphic Chip ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ออกตัวว่าจะผลิตเกมส์ หรือ Driver ของ Graphic Chip ให้สนับสนุนการทำงานของ 3DNow! นี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเจ้าตลาด Graphic Chip 3D เกมส์ในขณะนั้น ซึ่งก็คือ 3Dfx ได้ประกาศและพัฒนา Driver สำหรับ Chip Voodoo ของตน ให้สนับสนุนการทำงานของ 3DNow! นี้ด้วย ก็ทำให้ CPU AMD K6-2 3DNow! นี้ เริ่มกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันอย่างมาก <br />
<br />
ประกอบกับทาง VIA และ ALI ได้ออก Chipset ที่ใช้กับ Socket 7 ( AMD K6-2 นี้ยังคงใช้ Interface แบบ Socket 7 ) ที่ใช้งานที่ 100 MHz ได้ ก็ช่วยทำให้ AMD K6-2 นี้ มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีก <br />
<br />
สำหรับทางด้านรายละเอียดทั่วๆไป นั้นก็ขอสรุปคร่าวๆดังนี้ครับ <br />
o ใช้ FSB ที่ 66 MHz สำหรับ AMD K6-2 266 , 300 MHz ( AFR-66 ) และ 366 MHz <br />
o ใช้ FSB ที่ 95 MHz สำหรับ AMD K6-2 333 , 380 และ 475 MHz <br />
o ใช้ FSB ที่ 100 MHz สำหรับ AMD K6-2 300, 350, 400 , 450 และ 500 MHz <br />
o ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 Micron และใช้ไฟเลี้ยง CPU เป็น 2.2 Volt ( K6-2/III 400 MHz ในรุ่นแรกๆ ใช้ไฟ 2.4 Volt ) <br />
o ใช้ Interface แบบ Socket 7 ( 321 Pin ) <br />
<br />
<br />
ด้วยประสิทธิภาพที่สูง และ เด่นทั้งด้านการคำนวนเลขจำนวนเต็ม และ ยังเด่นในด้านเกมส์ 3D ( ถึงแม้จะไม่ใช่ที่ 1 แต่คุณภาพ ก็อยู่ใน ข่ายที่ยอมรับได้ ) บวกกับ ราคาที่จัดว่าถูกมากๆ ... ก็ทำให้ AMD K6-2 3DNow! นี้ ขายดิบขายดี เป็นเทน้ำ เทท่า เลยละครับ <br />
<br />
<br />
รายละเอียดเพิ่มเติม <br />
<br />
• 3DNow!<br />
3DNow! นั้น เป็นชุดคำสั่งใหม่ ที่ทาง AMD เป็นผู้คิดค้น และ พัฒนา โดยจะมีคำสั่งใหม่ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาอีก คำสั่งที่ใช้งานในแบบ SIMD ( Single Instruction Multiple Data stream ) เพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพในด้านการคำนวนเชิงทศนิยม รวมถึงได้แก้ไขปัญหาคอขวด ( BottleNeck ) ของ 3D Graphics Pipeline ระหว่าง CPU และ 2D/3D Graphic Card ด้วย <br />
<br />
ทาง AMD เลือกใช้วิธีนี้ ในการแก้ไขปัญหาเรื่องประสิทธิภาพด้าน FPU ในการเล่นเกมส์ 3 มิติ ซึ่ง CPU ของตนนั้นทำได้แย่กว่าของทาง Intel ที่ระดับความเร็วสัญญาณนาฬิกาเท่าๆกัน <br />
<br />
อ่านรายละเอียดเรื่องของ 3DNow! และ ประสิทธิภาพในการประมวลผลของ FPU ต่างๆ ได้ที่ พลังแห่งการประมวลผลเชิงทศนิยม ( FPU Power ) <br />
<br />
• Cache<br />
<a href="http://thefix-computer.blogspot.com/2009/09/cache.html">Cache นั้น สำคัญไฉน</a> อ่านเพิ่มเติมได้ ที่บทความเรื่อง Cache ครับ<br />
<br />
• Stepping<br />
ค่า Stepping เป็นค่าที่บ่งบอกถึงจำนวนการแก้ไข CPU โดย Stepping 0 หมายถึง core ที่เป็น Original Product และเมื่อมีการพบข้อผิดพลาดในส่วนของ MicroCode ของ core CPU หรือพบ CPU นั้นๆไม่สมบูรณ์ ก็จะทำการแก้ไขใหม่ เมื่อทำการแก้ไขใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็จะเพิ่ม Stepping เป็น 1 และเมื่อพบข้อผิดพลาดและได้ ทำการแก้ไขอีกก็จะทำการเพิ่มค่า Stepping เข้าไปอีก ซึ่ง จะว่าไปแล้ว Stepping นี้ ก็อาจเปรียบได้กับการพิมพ์หนังสือ ... เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 1 ... พิมพ์ครั้งที่ 2 หรือ พิมพ์ ครั้งที่ 3 เป็นต้น <br />
<br />
โดยปกติแล้ว จะพบว่า CPU ที่มีค่า Stepping มากกว่า 0 มักจะ Overclock ไม่ค่อยได้ หรือ มีเปอร์เซ็นต์สำเร็จ ในการ OverClock ต่ำกว่า CPU ที่มี Stepping เป็น 0 แต่ว่า มันจะมีความ Stable สูงกว่า สรุปง่ายๆ ก็คือ CPU ที่มี Stepping มาก ก็ยิ่ง OverClock แต่มันก็มากด้วยความ Stable <br />
<br />
• S-Code<br />
S-Code หรือ ที่ Intel เรียกว่า S-Spec นั้นเป็น ตัวอักษร 5 ตัวโดยนำหน้าด้วยตัว "S" ซึ่งทาง Intel ใช้สำหรับระบุความแตกต่างของชนิดของ CPU ของตนทั้งในด้านของ ชนิด, Stepping, Vcore หรือแม้แต่ ชนิดของการ Package CPU ว่าเป็น OEM หรือ Retail โดยสามารถดูได้ที่ตัวของ SEPP เลย หรือ ถ้าเป็นรุ่น Retail ก็จะดูได้จากข้างกล่องที่บรรจุ <br />
<br />
• Multiplier Lock<br />
ความเร็วในการทำงานของ CPU นั้นถูกกำหนดด้วยค่า 2 ค่า นั้นก็คือ ค่าความเร็ว Bus ของระบบ และ ค่าตัวคูณสัญญาณนาฬิกา โดย เรียกค่าความเร็ว Bus ของระบบว่าเป็น ความเร็วภายนอก เพราะระบบ Bus จะใช้ความเร็วนี้เป็นหลัก แต่ ความเร็วภายในของ CPU หรือ ที่เราเรียกๆ กันว่า CPU ความเร็ว 450 MHz นั้น เกิดจาก ผลคูณของความเร็ว Bus ของระบบ กับ ค่าตัวคูณสัญญาณนาฬิกา เช่นความเร็ว Bus ของระบบ เป็น 100 MHz และ ค่าตัวคูณสัญญาณนาฬิกานั้นเป็น 4.5 ก็จะได้ความเร็วของ CPU เป็น 450 MHz <br />
<br />
เดิมทีนั้น ทั้งค่าของความเร็วระบบ และ ค่าตัวคูณ จะสามารถปรับแต่งได้จากการ set บน Mainboard แต่เนื่องจาก เกิดปัญหาเรื่อง CPU remark มากเหลือเกิน ซึ่งก็เกิดจากการเพิ่มค่าของตัวคูณให้มากขึ้น เช่น จากเดิมเป็น 4.5 ก็เพิ่มเป็น 5 แล้วทำการ Screen ตัว CPU เสียใหม่ว่าเป็น CPU 500 MHz แล้วก็ขายในราคา 500 MHz ... แน่นอน ... ผู้เสียหายรายใหญ่นั้นคือ Intel ดังนั้น ทาง Intel จึงได้ ทำการปรับแต่งโครงสร้างการกำหนดค่าของ ตัวคูณเสียใหม่ โดยมีการฝังค่านั้นไว้ในส่วนของ Package CPU เลย และไม่จำเป็นต้องอ่านค่าตัวคูณจาก Mainboard อีกต่อไป <br />
<br />
• OEM & Retail<br />
CPU แบบ OEM หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า เป็นแบบ ถาด ( Tray ) จะเป็น CPU ที่มีเพียงแค่ตัว CPU โดดๆ ไม่มี Heatsink หรือ พัดลมจากทางผู้ผลิต CPU ให้ ( ที่มี ก็จะเป็นของที่ทางร้านเพิ่มให้เอง ) การรับประกันจะมีให้เพียงไม่นานนัก ซึ่งเป็นการประกันโดยผู้ขายเอง ไม่ใช่จากทางผู้ผลิตโดยตรง <br />
<br />
Retail หรือ ที่เราเรียกกันว่า แบบกล่อง (BOX) ซึ่งแบบนี้ จะมี Heatsink และพัดลมติดมาพร้อมกันเลย โดยทั้งหมดจะถูกบรรจุอย่างดีในกล่อง พร้อมด้วยคู่มือ รวมถึงรับประกันจากทางผู้ผลิตไม่ต่ำกว่า 1 ปี <br />
<br />
โดยปกติแล้ว แบบ OEM จะมีราคาถูกกว่าแบบ Retail อยู่พอสมควร และ ในตลาดบ้านเราจะพบแบบ OEM ได้มากกว่าแบบ Retail โดยเฉพาะอย่างยิ่ง CPU ของ AMD, Cyrix และ IDT ซึ่งจะเห็นได้แต่แบบ OEM เท่านั้น ( พอจะพบเห็น CPU ของ AMD แบบ Retail บ้าง ... แต่น้อยมาก ) <br />
<br />
ประสิทธิภาพของ OEM และ Retail นั้น ไม่แตกต่างกัน จะมีบ้างก็ในเรื่องความสามารถในการ OverClock และ เสถียรภาพ ซึ่งก็ไม่เห็นชัดเท่าไรนัก <br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><b>Empire Strike Back! </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b>[ 07 August 1999 ] </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b><br />
</b><br />
</div><div style="text-align: left;"><b>Intel Pentium III ( Katmai )</b><br />
</div><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSlv3mJ1T1ZF4bWI5GdVRL6C8rpv_sS_2hrsM3pWVXWqaHOD0HiVbu8G1xHZuxyJIO_g5iUcvKWP-Pdtj_riA2LEJPF-CZ5mb2fkimFhq5IVAwOYs4bRuRADckjFXTD76mypKTvBBHvOZO/s1600-h/cpu-15.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="253" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSlv3mJ1T1ZF4bWI5GdVRL6C8rpv_sS_2hrsM3pWVXWqaHOD0HiVbu8G1xHZuxyJIO_g5iUcvKWP-Pdtj_riA2LEJPF-CZ5mb2fkimFhq5IVAwOYs4bRuRADckjFXTD76mypKTvBBHvOZO/s320/cpu-15.jpg" width="320" /></a><br />
</div><br />
Intel ตอบโต้ AMD กลับ ด้วยการชิงเปิดตัว Pentium III ออกมาก่อนหน้า AMD K6-III โดยได้เปลี่ยนแปลงกำหนดการ ให้ออกเร็วขึ้น และ ได้สร้างความผิดหวังพอสมควรกับ การเร่งออกจนเกินไปในครั้งนี้ <br />
<br />
เพราะอะไร? ก่อนหน้านี้ Intel ได้ประกาศว่า Pentium III นั้น จะใช้เทคโนโลยีขนาด 0.18 Micron ใช้ไฟเลี้ยง 1.8 Volt และ มี Cache ระดับ 1 ขนาด 64 K ด้วย แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ นั้นปรากฏว่า ยังคงเป็น เทคโนโลยีขนาด 0.25 Micron ใช้ไฟเลี้ยง 2.0 Volt และ ยังคงมี Cache ระดับ 1 เพียง 32 K เช่นเดียวกับ Pentium II เลย <br />
<br />
จากข้อมูลหลายๆแหล่ง กล่าวว่า Pentium III นั้นใช้ สถาปัตยกรรมแกนหลัก ( Core ) เดียวกันกับ Pentium II นั่นก็คือใช้ Deschute Core เช่นเดิม เพียงแต่ได้เพิ่มเติมประสิทธิภาพอย่างอื่นเข้าไปแทน อาทิ SSE และ Processor Serial Number ( เรียก Core ใหม่นี้ว่า Katmai Core ) ซึ่ง หากตัดความสามารถทั้ง 2 อย่างนี้ออกแล้วละก็ .. Pentium III ก็ไม่ต่างจาก Pentium II เลยทีเดียว <br />
<br />
ปัญหาหนึ่งที่น่าจะเกิดขึ้นกับ Pentium III หนักกว่า Pentium II นั้นก็คือเรื่องปัญหาด้านความร้อน เนื่องจาก Pentium III นั้น มีจำนวนทรานซิสเตอร์อัดแน่นอยู่ภายใน CPU กว่า 9.5 ล้านตัว ซึ่งมากกว่า Pentium II ถึง 2 ล้านตัว และ อัดกันอยู่บนแผ่นเวเฟอร์ ขนาด 0.25 Micron ผลก็คือ ความร้อนที่เกิดขึ้นกับตัว CPU นั้น สูงกว่า Pentium II แน่นอน <br />
<br />
สรุปสถาปัตยกรรมโดยคร่าวๆของ Pentium III <br />
o ใช้เทคโนโลยีการผลิต ขนาด 0.25 Micron <br />
o Katmai Core นั้น พัฒนาขึ้นมาจาก Deschute Core โดยการเพิ่มชุดคำสั่ง SSE <br />
o Interface ที่ใช้ต่อเข้ากับ Mainboard เป็น Slot-1 <br />
o Cache ระดับ 1 ขนาด 32 K แบ่งเป็น Cache ข้อมูล 16 K และ Cache คำสั่ง 16 K โดยมีการเข้าถึงได้ 4 ทาง ( 4-Way Associative ) <br />
o Cache ระดับ 2 อยู่บน PCB เดียวกันกับ CPU ใน SECC2 เดียวกัน โดยมีขนาด 512 K และทำงานที่ความเร็วเพียงครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU <br />
o ใช้ไฟเลี้ยง CPU Core 2.0 Volt <br />
o ชุดคำสั่ง พิเศษสำหรับช่วยจัดการงานด้าน Multimedia, Internet และ Graphics 3D อีก 70 คำสั่ง ( SSE ) <br />
o Processor Serial Number ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ CPU Pentium III แต่ละตัว <br />
o ใช้ FSB 100 MHz และ ยังคงมีการล็อคค่าตัวคูณสัญญาณนาฬิกา ( Multiplier Lock ) <br />
อย่างไรก็ตาม Intel มีแผนการจะวางตลาด Pentium III ตัวใหม่ที่ใช้ Core ใหม่ ที่มี CodeName ว่า Coppermine ในราวปลายๆปี 1999 นี้ โดยคาดว่า Coppermine นี้ จะใช้ FSB ที่ 133 MHz รวมถึงใช้เทคโนโลยีแบบ 0.18 Micron และเริ่ม ต้นที่ความเร็ว 600 MHz <br />
<br />
<br />
<b>Intel Pentium III Xeon </b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjX50hYoN3UlS2ZSX8UfKXHR3zWql-6l6HB8-wBvt8ryT0Hk3yOTOq123H_OQm0MlOiN5mb2z6FlcQSMiZsJCPCzy0Oqme-Yk4XxdSlhgBjOmm8XEtVya21q7PRJm8LZjzsJ98BuUZOTteg/s1600-h/cpu-16.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjX50hYoN3UlS2ZSX8UfKXHR3zWql-6l6HB8-wBvt8ryT0Hk3yOTOq123H_OQm0MlOiN5mb2z6FlcQSMiZsJCPCzy0Oqme-Yk4XxdSlhgBjOmm8XEtVya21q7PRJm8LZjzsJ98BuUZOTteg/s320/cpu-16.jpg" /></a><br />
</div><br />
เหมือนกับเป็นผลรวมของ Pentium II Xeon บวกกับความสามารถใหม่ของ Pentium III คือ SSE และ Processor Serial Number ดังนั้นโดยสถาปัตยกรรมหลักแล้ว ก็ยังคงพื้นฐานเดิมของ Pentium II Xeon เช่นเดิม เพราะฉะนั้น ความสามารถใหม่ๆ ที่เด่นๆ ก็มีเพียง <br />
o Internet Streaming SIMD Extension ที่ช่วยให้สามารถแสดงข้อมูลที่เต็มไปด้วยสื่อต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเสริมให้แอพพลิเคชั่นประเภท Streaming Media และ Application ที่ต้องใช้พื้นที่ในหน่วยความจำสูงๆ สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น <br />
o สามารถ ทำงานร่วมกันกับแพลตฟอร์มของเวิร์กสเตชั่น และเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Pentium II โปรเซสเซอร์ ได้ <br />
o เข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการต่างๆ ทั้งบนไมโครซอฟต์ Windows NT หรือระบบ UNIX ได้ <br />
o มีให้เลือกขนาดของ Cache ระดับ 2 ได้หลายแบบ กล่าวคือ รุ่น 500 MHz นั้นมี ขนาดของ Cache ระดับ 2 ให้เลือกถึง 3 รุ่น คือ 512 KB, 1 MB หรือ 2 MB และแบบความจุ 512 KB สำหรับรุ่น 550 MHz <br />
o ยังคงความสามารถต่างๆ ที่มีใน Pentium II Xeon เดิม เช่น ECC, SMB และ FRC ซึ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับ WorkStation หรือ Server <br />
o คุณสมบัติ Processor Serial Number <br />
และก็เช่นกันกับ Pentium II Xeon นั่นก็คือ CPU ตัวนี้ เหมาะกับการใช้เป็น Server และ / หรือ WorkStation เท่านั้น ไม่เหมาะกับ Home User ทั่วๆไป แน่นอนครับ ทั้งด้วยประสิทธิภาพที่เกินความจำเป็น และ ราคาที่สูงเกินอาจเอื้อม <br />
<br />
<br />
<br />
<b>AMD K6-III 3DNow! ( SharpTooth ) </b><br />
<br />
AMD หมายจะตอกย้ำความเจ็บช้ำให้กับ Intel ซึ่งได้เคยสร้างไว้แล้ว เมื่อคราว K6-2 ดังนั้น มาคราวนี้ AMD ได้รับประสปการณ์เรื่องความเร็ว Cache ระดับ 2 มาจาก Celeron ก็เลยตัดสินใจ รวม Cache ระดับ 2 เข้าไปใน CPU ด้วย โดยเพิ่มให้มีขนาดเป็น 2 เท่าของ Celeron คือ มีขนาดถึง 256 K และ ทำงานด้วย ความเร็วเท่าๆ กับ CPU เลยทีเดียว และ ยังคงใช้กับ Mainboard Socket 7 ที่มี Cache บน Mainboard อีกด้วย ก็เลยทำให้มันมอง Cache บน Mainboard นั้น เป็น Cache ระดับ 3 ไปโดยปริยาย <br />
<br />
CPU ตัวใหม่นี้ เดิมที AMD จะให้ชื่อ K6-3 และ มี Code Name ว่า SharpTooth แต่ต่อมา ภายหลังจากที่ทาง Intel ประกาศตัว Pentium III และ ทาง AMD เองก็หมายจะให้ CPU ตัวใหม่นี้ของตนเป็นคู่แข่งกับ Pentium III ก็เลยเปลี่ยนชื่อ K6-3 นี้เล็กน้อย มาเป็น K6-III แทน <br />
o ด้านสถาปัตยกรรมแบบ SuperScalar <br />
มีหน่วยประมวลผลที่สามารถทำงานได้พร้อมๆ กันถึง 10 หน่วย <br />
Branch Prediction 2 ระดับ <br />
Speculative Execution <br />
Out-Of-Order Execution แบบเต็มรูปแบบ <br />
Register Renaming และ Data Forwarding <br />
ทำงานด้วยชุดคำสั่ง RISC86 ได้ถึง 6 ชุดคำสั่ง ต่อ 1 สัญญาณนาฬิกา <br />
o สถาปัตยกรรมแบบ Tri-Level Cache ( Cache 3 ระดับ ) <br />
Cache ภายใน มีขนาดโดยรวมมากถึง 320 KB <br />
Cache ระดับ 1 ขนาด 64 KB แบ่งเป็น Cache ข้อมูล 32 KB ( เป็น Write-Back Dual-Port ) และ Cache ชุดคำสั่งอีก 32 KB <br />
มีการเข้าถึง Cache ระดับ 1 ได้ 2 ทางพร้อมๆกัน ( 2 Way -Associative ) <br />
Cache ระดับ 2 ฝังอยู่ใน Silicon ชิ้นเดียวกับ CPU ขนาด 256 KB ( Write-Back ) <br />
มีการเข้าถึง Cache ระดับ 2 ได้ 4 ทางพร้อมๆกัน ( 4 Way -Associative ) <br />
มอง Cache บน Mainboard เป็น Cache ภายนอก ( Cache ระดับ 3 ) <br />
o ใช้เทคโนโลยี 3DNow! ( 21 ชุดคำสั่ง SIMD FPU ) <br />
o Package เป็น Ceramic Pin Grid Array ( CPGA ) ซึ่งมี 321 ขา เพื่อใช้กับ Interface แบบ Socket 7 ( Super 7 ) <br />
o มีทรานซิสเตอร์ 21.3 ล้านทรานซิสเตอร์ บน Die Size ขนาด 118 ตารางมิลลิเมตร และใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 Micron 5 Layer-Metal Silicon <br />
<br />
ด้วยประสิทธิภาพที่ดีพอๆ กันในการใช้งานทั่วๆไป และ มีข้อเด่นข้อด้อย ต่างกัน ซึ่งเมื่อจะมองๆ ไป ก็น่าจะชดเชยส่วนด้อยกันไปได้ และ ราคานั้น AMD ก็ยังคงถูกกว่า Pentium III ณ ระดับความเร็วเท่าๆ กัน ... งานนี้ก็เลยดูเหมือนว่า K6-III จะย้ำแค้นได้สำเร็จ ... แต่ ในความเป็นจริง กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อ Intel ประกาศ เปิดตัว Pentium III ก็ได้เปิดตัว SSE และ สร้างภาพลักษณ์ให้กับ Internet SSE อย่างมาก เพื่อให้ ผู้ใช้ฝังใจว่า หากจะเล่น Internet ให้เร็วๆ แล้ว ก็ต้องใช้ Pentium III ซึ่งเรื่องนี้ ทาง Intel ทุ่มทุนในการโปรโมทเป็นอย่างมาก อีกทั้ง Intel ได้ทำการหั่นราคา CPU Pentium III ของตน ลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผลลัพธ์ ก็เหมือนกับว่า ทาง Intel นั้น เป็นจักรพรรดิ ที่กลับมาทวงบัลลังก์คืน ด้วยขุมกำลังอันมหาศาลเลยทีเดียว ... <br />
<br />
แล้ว Intel จะทวงบัลลังก์คืนได้ไหม? หรือว่า เป็นแค่เพียงการดิ้นรนเฮือกสุดท้าย หรือ AMD มีการเตรียมการโต้ตอบอย่างไร ? กาลเวลาจะเป็นผู้ให้คำตอบนี้ได้อย่างดีที่สุด <br />
<br />
รายละเอียดเพิ่มเติม <br />
• SSE : Streaming SIMD Extension <br />
<br />
เป็นชุดคำสั่งแบบ SIMD ที่ทาง Intel เพิ่มเข้าไปใน CPU ของตน ซึ่งก็เหมือนกับ MMX และ 3DNow! ( ของ AMD ) เพียงแต่ MMX นั้น เป็น SIMD สำหรับการประมวลผลเลขจำนวนเต็ม แต่ SSE นั้น เน้นด้าน ทศนิยมเป็นหลัก และ ยังใช้งานได้กว้างขวางกว่า 3DNow! ของ AMD อีก เพราะไม่ได้จำกัดแค่ Application ด้าน 3D เท่านั้น <br />
<br />
SSE นั้น เป็นชุดคำสั่ง 70 คำสั่ง ที่มีคำสั่งในการประมวลผลเชิงทศนิยม อยู่ 50 คำสั่ง ... เป็น ชุดคำสั่ง MMX ใหม่ ซึ่ง Compat กับ MMX เดิม 57 คำสั่ง อีก 12 คำสั่ง และ เป็นชุดคำสั่งที่จัดการเกี่ยวกับ Cache อีก 8 คำสั่ง <br />
<br />
อ่านเพิ่มเติมได้ ที่บทความเรื่อง FPU Power : ประสิทธิภาพในการประมวลผลเชิงทศนิยม ครับ <br />
• PSN : Processor Serial Number <br />
<br />
เป็น Feature ใหม่ ที่ทาง Intel เพิ่มเติมเข้าไปให้กับ CPU Pentium III ของตน โดยแต่เดิมนั้น ใช้ข้อมูลขนาด 32 Bit เท่านั้น ในระบุชนิด ของ CPU แต่ใน Pentium III นั้น จะมี chip PROM ( Programable ROM ) ขนาด 96 Bit ฝังอยู่ใน Pentium III เลย โดยจะมีการจัดเก็บรหัสข้อมูลของ CPU แต่ละตัวที่ไม่ซ้ำกันเลย ( เป็น Uniqe Number ) ขนาด 64 Bit และจะทำงานโดยการเรียกผ่านชุดคำสั่ง CPU_ID เพื่อให้ใช้งาน PSN ได้ <br />
<br />
PSN นั้น ทาง Intel อ้างว่า มีไว้ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบขององค์การ สามารถใช้ PSN ในการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับ เครื่อง Computer ที่ต่ออยู่กับ Network ทั้งในด้าน ตำแหน่งที่ตั้งของเครื่อง, Configuration, Application ที่ใช้งานต่างๆ และ อื่นๆ ได้ <br />
<br />
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เรื่องของ Internet Security ซึ่ง Intel มองถึงเรื่องของ E-Commerce โดย PSN นั้นจะช่วยป้องกันการ Access เข้าไปใช้งาน จากผู้ที่ไม่มีสิทธิ โดยผู้ใช้สามารถลงทะเบียน PSN ของเครื่องที่ใช้ติดต่อกับเว็ปไซท์ที่ใช้บริการ E-Commerce นั้นๆ แล้ว เมื่อมีการ Access เข้าไปเพื่อจะติดต่อธุรกิจ ก็อาจมีการให้ใส่ login และ password จากนั้น ระบบก็จะส่ง PSN ไปให้กับผู้ให้บริการด้วย เพื่อเป็นการยืนยันอีกทางหนึ่ง <br />
• Tri-Level Cache <br />
<br />
สำหรับ AMD K6-III นั้น ได้มีการนำเอา Cache ระดับ 2 เข้ามาไว้ในตัว CPU เลย เป็น Cache ภายในที่ทำงานด้วยความเร็ว เท่ากับ ความเร็วของ CPU และมอง Cache ภายนอกที่อยู่บน Mainboard ซึ่งทำงานด้วยความเร็วเท่าๆกับ System Bus เป็น Cache ระดับ 3 ซึ่ง ผลที่ได้นั้นก็จะช่วยลดการเกิด Cache Miss ลง และ ยังทำให้ CPU ดึงข้อมูลที่ต้องการใช้งานได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ประสิทธิภาพโดยรวมก็ดีขึ้น และ กับงานที่มีการเรียกใช้งาน Cache มากๆ เช่นพวก Presentation หรือ Office Application ต่างๆ ก็จะยิ่งเห็นผลของ Tri-Level Cache ได้มากขึ้น <br />
<br />
อ่านเพิ่มเติมได้ ที่บทความเรื่อง <a href="http://thefix-computer.blogspot.com/2009/09/cache.html">Cache</a> ครับ <br />
<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><b>ทิ้งทวนศตวรรษที่ 20</b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b>[ 12 November 1999 ] </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b><br />
</b><br />
</div><b>Intel Pentium !!! ( Coppermine ) </b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlv3fBLy1N1khncAKmO2rxTRzGBnNwXzHm6Ug0SUdPIZsHgJRymqFREORsPvzMhvcQX-dItNLs5XGVBgmKhvP1EkdEf9leC4SZIg1OyNDqnyS-XWNeUBNCEfao4eOzjO2rAWBct7ZekZwi/s1600-h/cpu-17.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlv3fBLy1N1khncAKmO2rxTRzGBnNwXzHm6Ug0SUdPIZsHgJRymqFREORsPvzMhvcQX-dItNLs5XGVBgmKhvP1EkdEf9leC4SZIg1OyNDqnyS-XWNeUBNCEfao4eOzjO2rAWBct7ZekZwi/s320/cpu-17.jpg" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSCHWGYEgjQzlwGxwdrOeyez6fm4oubPPf9HiPYuTss8CRfiDa1VCh1fLZ3ofpHsk2k8tKrNdJY3jxhXN8e3Gc77Zr6uTX2fG3EzcXr8lZmGf2K_-yTS-Gg2VrbRV1xe0sw-grEt43yFd6/s1600-h/cpu-18.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSCHWGYEgjQzlwGxwdrOeyez6fm4oubPPf9HiPYuTss8CRfiDa1VCh1fLZ3ofpHsk2k8tKrNdJY3jxhXN8e3Gc77Zr6uTX2fG3EzcXr8lZmGf2K_-yTS-Gg2VrbRV1xe0sw-grEt43yFd6/s320/cpu-18.jpg" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvFpJ9n-CXtyaE2VC5wONvkNIdQTbC7KTAlsnXrLInT8TbkCDANp3e9QhQqIufjtfXs0mdZJ0nX4hObR0NZPYHXGC7rG9rQBY3p5PMPrRFyBXmUTojY4vNBsku3iurKWZSfJqFg1yyM0KB/s1600-h/cpu-19.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvFpJ9n-CXtyaE2VC5wONvkNIdQTbC7KTAlsnXrLInT8TbkCDANp3e9QhQqIufjtfXs0mdZJ0nX4hObR0NZPYHXGC7rG9rQBY3p5PMPrRFyBXmUTojY4vNBsku3iurKWZSfJqFg1yyM0KB/s200/cpu-19.jpg" /></a><br />
</div><br />
<br />
Intel ได้ปล่อยตัว CPU Pentium !!! รุ่นใหม่ ที่เรียกว่า Pentium !!! Coppermine โดยมีการปรับปรุงสถาปัตยกรรมภายในอีกไม่ใช่น้อย เพื่อเป็นการแก้ตัวจากการที่รีบปล่อย Pentium !!! Katmai มากเกินไป จนทำให้ Katmai ที่ออกมา ผิดจาก Spec ที่เคยกล่าวไว้บ้างพอสมควร <br />
<br />
จุดเด่นต่างๆ ของ Pentium !!! ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 0.18 ไมครอน ( หรือ Coppermine Core ) ก็มีดังนี้ <br />
o ลดขนาดของช่องทางการเชื่อมต่อระหว่างทรานซิสเตอร์ภายในให้น้อยลง ทำให้ติดต่อกันได้เร็วขึ้น <br />
o ใช้ Fluorine-Doped SiO2 ( SiOF ) เป็นขั้วไฟฟ้า Dielectric ทำให้มีความเร็วในการทำงานที่ดีขึ้น <br />
o มีชั้นโลหะมากขึ้น สำหรับส่งผ่านข้อมูลจำนวนมากๆ ช่วยส่งผลให้ Interface ของ Cache ระดับ 2 ที่อยู่บน CPU สามารถทำงานด้วยความเร็วเดียวกันกับ CPU <br />
o ทำงานด้วยศักย์ไฟฟ้าต่ำลง คือลดลงมาอยู่ในระดับ 1.1 - 1.7 Volt <br />
o กินไฟต่ำ ( ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ ) ทำให้เกิดความร้อนน้อย <br />
o ขนาดของแผ่น Die ลดลงจาก 128 ตารางมิลลิเมตร ( Katmai Core ) เหลือเพียง 106 ตารางมิลลิเมตร แต่บรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากขึ้นเป็น 28.1 ล้านตัว <br />
o มี Cache ระดับ 2 ที่อยู่บนตัว CPU ขนาด 256 KB ( Integrated On-Die L2 Cache ) <br />
o 6 Metal Layer Process <br />
<br />
<br />
เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นอาวุธลับอีก 2 ชิ้น ที่ทาง Intel กล่าวว่า จะช่วยให้ Pentium !!! ที่ใช้ เทคโนโลยีการผลิต 0.18 ไมครอนนี้ ให้ประสิทธิภาพเหนือกว่า Katmai Core เดิม ในทุกๆด้าน ถึง 20% เมื่อเทียบกันที่ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาที่เท่ากันที่ 600 MHz ก็คือ Advanced Transfer Cache ( ATC ) และ Advanced System Buffering ( ASB ) ซึ่งจากเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาอีก 2 อย่างนี้ ทาง Intel ก็ได้อ้างว่า มันจะทำให้ Pentium !!! ที่ใช้ Coppermine Core มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Katmai Core อยู่ถึง 20% <br />
<br />
<br />
นอกจากนี้ ทาง Intel ยังได้เผยบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ของ Pentium !!! คือ FC-PGA หรือ Flip-Chip Pin Grid Array ซึ่งสามารถใช้ Plug เข้ากลับ Socket แบบ 370 pin ได้อีกด้วย โดยให้ความเห็นว่า เป็นการลดขนาดของ CPU เพื่อให้ต่อๆไป ผู้ผลิต PC สามารถออกแบบ Case หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีรูปทรงกระทัดรัด หรือ แปลกใหม่ได้ง่ายขึ้น <br />
<br />
จากการที่ CPU Pentium !!! รุ่นใหม่ที่เปิดตัวขึ้นมานี้ บางรุ่น ก็มีระดับความเร็วที่เท่ากับรุ่นเดิม ( Katmai ) ซึ่งก็อาจสร้างความสับสนให้กับทั้งผู้ซื้อ และ ผู้ขายได้ ดังนั้นทาง Intel จึงได้กำหนดให้ใช้ตัวอักษร E และ B กำกับไว้หลังตัวเลขแสดงความเร็วเพื่อบ่งบอกถึงคุณสมบัติเหล่านี้ ดังนี้ <br />
o ตัวอักษร E หมายถึง CPU Pentium !!! ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตแบบ 0.18 ไมครอน และมี Cache ระดับ 2 อยู่บน Die เดียวกันกับ CPU ทำงานด้วยความเร็วเท่ากันกับ CPU ( ซึ่งก็รวมถึงมี Advance Transfer Cache ด้วย ) <br />
o ตัวอักษร B หมายถึง CPU Pentium !!! รุ่นที่ใช้ FSB เป็น 133 MHz <br />
เพราะฉะนั้นรุ่นที่มีทั้งตัว E และ ตัว B ก็จะหมายถึง CPU Pentium !!! Coppermine ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 0.18 มี On-Die Full Speed L2 Cache และใช้ FSB 133 MHz <br />
<br />
ส่วนรุ่นที่มีความเร็วมากกว่า 650 MHz ขึ้นไป จะใช้การผลิตแบบ 0.18 ไมครอน มี On-Die Full Speed L2 Cache และมี FSB 133 MHz ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่จำเป็น ต้องมีตัวอักษร E หรือ B กำกับไว้ <br />
<br />
<br />
<b>AMD Athlon ( K7 ) </b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqBfNirnG-3YHMnP8AAT3_x13JzHFXWrH-OxQzKB3MjwWUIClMp3sGg60DXPkazb0Jv1gP4oEJnRw2IWyBic8Oxkg175bKhzVRP2wMqSVs9rRhW2zvySI8j-v3XuvkvasxRelS_KlrzyiX/s1600-h/cpu-20.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqBfNirnG-3YHMnP8AAT3_x13JzHFXWrH-OxQzKB3MjwWUIClMp3sGg60DXPkazb0Jv1gP4oEJnRw2IWyBic8Oxkg175bKhzVRP2wMqSVs9rRhW2zvySI8j-v3XuvkvasxRelS_KlrzyiX/s320/cpu-20.jpg" /></a><br />
</div><br />
ความพยายามของ AMD ที่พยายามจะหนีให้พ้นจากเรื่องที่ถูกมองว่ามีเทคโนโลยีตามหลัง Intel อยู่เสมอ ดูเหมือนจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เมื่อทาง AMD ได้เปิดตัว CPU ตระกูลใหม่ สายพันธุ์ที่ 7 ของตน ที่ชื่อว่า Athlon โดยสลัดคราบสถาปัตยกรรมเดิมที่มีมาจนถึงรุ่นที่ 6 จนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงชุดคำสั่ง 3DNow! เท่านั้น ที่ยังคงมีอยู่ แต่ก็ได้มีการปรับปรุง และเพิ่มเติมชุดคำสั่งนี้ใหม่ เรียกว่า เป็น Enhance 3DNow! โดยสถาปัตยกรรมหลักคร่าวๆ ของ Athlon เป็นดังนี้ <br />
o เป็น Superpipeline 9 สาย <br />
เป็นส่วนของหน่วยประมวลผลทางทศนิยม ที่เป็นแบบ Out-Of-Order และ Superscalar 3 สาย <br />
เป็นส่วนของหน่วยประมวลผลเลขจำนวนเต็ม ที่เป็นแบบ Out-Of-Order และ Superscalar 3 สาย <br />
เป็นส่วนของหน่วยคำนวนหาตำแหน่งสำหรับการประมวลผลอีก 3 สาย <br />
o ชุดคำสั่ง Enhanced 3DNow! ที่รวมเอาชุดคำสั่งเดิม 21 คำสั่ง และอีก 19 คำสั่งสำหรับการจัดการด้าน Cache และ ช่วยในการประมวลผลเลขจำนวนเต็ม และอีก 5 คำสั่งสำหรับการประมวลผลด้าน DSP ( Digital Singal Processing ) <br />
o ใช้ Alpha EV6 Bus ที่ความเร็ว 200 MHz โดย EV6 Bus นี้ใช้เทคโนโลยี DDR ( Double Data Rate ) ทำให้ มีความเร็ว MHz สูงกว่า FSB อยู่เท่าตัว <br />
o Cache ระดับ 1 ขนาด 128 K และมี Cache ระดับ 2 อยู่ใน Package เดียวกันกับ CPU ( แต่ไม่ได้อยู่บน Die เดียวกัน ) <br />
o ใช้ Interface แบบ Slot A ในการ Plug เข้ากับ Mainboard <br />
o แผ่น Die มีขนาด 184 ตารางมิลลิเมตร ใช้เทคโนโลยีขนาด 0.25 ไมครอน และมีจำนวน Transistor 22 ล้านตัว <br />
o ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 6 Metal Layer <br />
AMD Athlon เป็น CPU ในรุ่นที่ 7 ของ AMD ซึ่งนับเป็นเจ้าแรก ที่เข้าสู่ยุคที่ 7 เพราะแม้ว่า Intel จะมี Pentium !!! Coppermine ออกมา แต่ก็ยังจัดว่าเป็นรุ่นที่ 6 อยู่ <br />
<br />
เรื่อง FPU ของ AMD ที่เคยด้อยกว่า Intel เพราะทาง AMD นั้นใช้ Low Latency FPU ในรุ่นก่อนๆ มารุ่นใหม่นี้ ทาง AMD ก็ได้หันมาใช้แบบ Pipeline แล้ว และได้ใช้ Pipeline สำหรับประมวลผลด้านทศนิยมถึง 3 สาย รวมถึงการเพิ่มขนาดของ Cache ระดับ 1 ถึง 128K เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีกด้วย <br />
<br />
<br />
นอกจากนี้ ทาง AMD ยังได้เปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ที่ Dresden ที่เรียกว่าเป็น Fab 30 ( Fab = Fabrication เป็นลักษณะของโรงงานวิจัย และ ผลิต ส่วนเลข 30 หมายถึง AMD ได้ก่อตั้งมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าเป็นโรงงานผลิตสาขาที่ 30 แต่อย่างใด ) ในไตรมาสสุดท้ายของปี 1999เพื่อ ใช้เป็นที่ผลิต และ พัฒนา Copper Athlon แล้วยังรวมไปถึงการค้นคว้าวิจัยในวงจรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย <br />
Fab 30 ที่ Dresden นี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 75 เอเคอร์ ที่ทางเหนือของ Dresden ในรัฐ Saxony ประเทศเยอรมณี โดยจะใช้เป็นโรงงานผลิตหลักสำหรับ AMD Athlon ที่ใช้เทคโนโลยี HiP6L หรือก็คือเทคโนโลยี Copper ขนาด 0.18 ไมครอน ภายใต้ ข้อตกลงร่วมกับทาง Motorola และคาดว่าจะเริ่มทำการผลิต Copper Athlon เพื่อส่งออกสู่ท้องตลาด ในช่วงครึ่งหลังของปี 2000 <br />
<br />
AMD พลาดท่าไปมากกับการเปิดตัว Athlon ซึ่งหมายจะย้ำแค้นให้กับทาง Intel แต่ไม่เป็นดังคาด เพราะแม้จะมีการเปิดตัว Athlon ไปตั้งแต่กลางๆ ปีแล้ว มี CPU ขายแล้ว แต่กลับไม่มี Mainboard ให้ใช้ ที่มีออกมา ก็กลับมีปัญหาจนต้องเรียกกลับคืน และกว่าจะมี Mainboard มารองรับมากขึ้นก็ปาเข้าไป ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีซะแล้ว ... แถมยังประสบปัญหาจากการที่ไต้หวันเกิดแผ่นดินไหวอีกด้วย ทำให้งานนี้ AMD เจ็บตัวอยู่ไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่า จะเจ็บเป็นอยู่อย่างเดียว เพราะอย่างไร ประสิทธิภาพของ Athlon ที่ออกมา ความเร็วเป็น MHz ที่ออกมาข่ม Intel เป็นระยะๆ และ ราคาของ Athlon ที่ถูกกว่า Intel Pentium !!! ที่ระดับความเร็วเท่าๆ กัน ก็สร้างความกดดันให้กับ Intel บ้าง ไม่ใช่น้อยๆ ... ยังไงก็นับว่า "Athlon นี้เป็นอาวุธชิ้นสุดท้ายของ AMD ที่ใช้อัด Intel Pentium !!! ทิ้งทวน อำลาศตวรรษที่ 20 " รวมถึง Fab 30 ที่เพิ่งเปิดตัว โดยทาง AMD หมายจะใช้เป็นกองกำลังหลักในปี 2000 สำหรับการพัฒนา และ ผลิต Athlon ที่ใช้ทองแดงในการเชื่อมต่อ ( Copper Interconnect ) กับ CPU ความเร็วในระดับ GHz ก็นับเป็น " ความหวังใหม่ของทาง AMD ในศตวรรษที่ 21" <br />
<br />
Intel เอง ก็พลาดท่ากับการที่เปิดตัว Coppermine แล้ว แต่กลับไม่มีสินค้ามาวางขาย อีกทั้งยังประสบปัญหาในด้าน Chipset ตัวใหม่ๆ ที่หมายจะเอา มาใช้กับ Pentium !!! Coppermine ทำให้ทาง Intel ก็ประสบปัญหาไม่แพ้ทาง AMD เช่นกัน ... ก็ดูเหมือนว่าทาง Intel จะยอมรับว่าประสิทธิภาพ ของ Pentium !!! ( Katmai ) นั้นจะแพ้ Athlon ที่ระดับความเร็ว MHz เท่าๆ กัน ในหลายๆด้าน ดังนั้น "Pentium !!! Coppermin นี่ก็คือ อาวุธชิ้นสุดท้าย ของทาง Intel ที่จะใช้ต่อกรกับทางหมายจะเอามาโต้กลับ AMD Athlon คืน" ละครับ รวมถึง Chipset ใหม่ๆ ที่จะเอามาใช้กับ Pentium !!! Coppermine ซึ่งจะรวมเอา เทคโนโลยีใหม่ๆ ความสามารถใหม่ๆ เช่นการรองรับ RAMBUS , AGP 4X และ UDMA/66 ที่จะช่วยทำให้ Pentium !!! Coppermine แสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ ก็นับว่าเป็น "ความหวังใหม่ของ Intel ที่จะช่วยเสริมฐานบัลลังก์ให้มั่นคงกว่าเดิม" เช่นเดียวกันครับ<br />
<br />
รายละเอียดเพิ่มเติม <br />
<br />
• Advanced Transfer Cache ( ATC )<br />
เทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีของการนำเอา Cache ระดับ 2 ขนาด 256 KB มาฝังไว้ในตัว CPU เลย ( Integrated On-Die 256 KB L2 Cache ) และได้ขยายความกว้างของระบบบัสที่ใช้ในการติดต่อกับ Cache ระดับ 2 ที่จากเดิมใช้เพียง 64 Bit มาเป็น 288 Bit ( 256 Bit Data + 32 Bit ECC ) นอกจากนั้นยังได้เปลี่ยนเทคนิคการเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มของ Cache จาก 4 ทาง เป็น 8 ทาง ( 8 - Way Associative ) และยังมีช่วงจังหวะรอในการ รับส่งข้อมูลต่ำ ( Low Latency ) ทำให้มีความเร็วในการทำงานของ Cache เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่า เมื่อเทียบกับความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลของ Katmai Core <br />
<br />
สรุปจุดเด่นของ ATC ได้ดังนี้ <br />
o มีขนาด 256K บน Die เดียวกันกับ CPU ทำงานด้วยความเร็วเท่าๆ กับ CPU <br />
o มีการเข้าถึงแบบสุ่มได้ 8 ทาง ( 8-Way Set Associative, 1024 sets , 32 Byte line + 4 Byte ECC , 36 Bit Physical Address ) <br />
o มีความเร็วในการทำงานของ Cache เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่า เมื่อเทียบกับ Katmai Core <br />
o มีความกว้างของระบบบัสที่ใช้ในการติดต่อรับส่งข้อมูลกับ Cache ระดับ 2 ขนาด 288 Bit ( เป็นข้อมูล 256 Bit และ เป็น การตรวจสอบความผิดพลาด หรือ ECC 32 Bit ) <br />
o มี Back-To-Back Throughtput 2 ช่วงสัญญาณนาฬิกา <br />
<br />
• Advanced System Buffering ( ASB )<br />
เทคโนโลยีใหม่อีกประการหนึ่ง เป็นเทคโนโลยี ที่มีการเพิ่มขนาดของ Buffer ( หรือที่พักข้อมูล ) ให้มีจำนวนมากขึ้น โดยทาง Intel ได้กล่าวว่า ปริมาณที่เพิ่มขึ้นนี้ ได้ทำการทดสอบแล้วว่า เป็นขนาดที่สมดุล และช่วยให้ใช้ประโยชน์ของ FSB 133 MHz ได้อย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งเทคโนโลยีนี้ ช่วยทำให้หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU สามารถเข้าถึงหน่วยความจำหลัก หรือ Main Memory ได้เร็วขึ้น <br />
<br />
ASB นี้จะช่วยลดปัญหาคอขวด ( Bottleneck ) ให้ลดน้อยลง โดยการเพิ่มขนาดของ Fill Buffer จาก 4 เป็น 6 หน่วย ทำให้การทำงานของ Cache ด้าน Concurrent Non-Blocking Data เพิ่มขึ้นอีก 50% และ เพิ่มขนาดของ Bus Queue Entry จาก 4 ไปเป็น 8 หน่วย ทำให้มีการทำงานประสานกัน ระหว่าง Outstanding Memory กับระบบบัส มากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มขนาดของ Writeback Buffer จาก 1 เป็น 4 อีกด้วย ซึ่งทำให้ลดการ Block ระหว่างขั้นตอน Cache Replacement ลง ละยังทำให้เวลาในการ Deallocation ในการ Fill Buffer เร็วขึ้นอีกด้วย <br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><b>แนวโน้มในศตวรรษหน้า </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b>[ Post : 12 November 1999 ] </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b><br />
</b><br />
</div>แนวโน้มในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งคู่ ต่างก็เตรียมตัวที่จะฟาดฟันกันอีกครั้ง ด้วย CPU ระดับ 64 Bit โดยในขณะนี้ทาง Intel ก็ได้ประกาศตัว CPU ระดับ 64 Bit ออกมาแล้ว โดยให้ชื่อว่า Itanium ( หรือชื่อเดิมคือ Merced ) โดยได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมภายในใหม่เกือบทั้งหมด .. ในขณะที่ทาง AMD ก็ได้เปิดตัว Sledgehammer ( หรือรู้จักกันในนาม K8 ) ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบ 64 Bit เช่นกัน ... แต่ยังคงยึดหลักสถาปัตยกรรม x86 เดิม <br />
<br />
ก่อนที่จะเข้าสู่ CPU ระดับ 64 Bit นี้ ทาง Intel ก็จะทิ้งทวน CPU ระดับ 32 Bit ( IA32 ) ตัวรุ่นสุดท้าย ที่มีชื่อว่า Willamette โดยให้ฉายากันภายในว่า "Athlon Killer" หรือ "เพชรฆาต Athlon" ซึ่งก่อนหน้านี้ ตาม Roadmap ของ Intel เจ้า Willamette นี้ ควรจะต้องเปิดตัวในราวไตรมาสที่ 3 ของปี 2000 แต่ไปๆ มาๆ ทาง Intel ก็จำต้องเลื่อนกำหนดการ ให้เข้ามาอีก จนมีข่าวลือกันว่า ปลายๆ ปีนี้ คงได้มีการเปิดตัว Willamette แน่ๆ ... ดูเหมือนว่าทาง Intel เองก็ลนลานอยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะครับ สำหรับการเปิดตัว Athlon ของ AMD <br />
<br />
มาดูทางด้าน CPU ระดับ 64 Bit ( IA64 ) ของ Intel กันบ้าง ... ยักษ์ใหญ่ ผู้ครองตลาดมานาน ได้วางแผนไว้แล้ว ว่าจะออก CPU Itanium ในราวๆ กลางปี 2000 โดยจะทำการ เปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมภายในของ CPU นี้ ใหม่หมด จนแทบไม่เหลือคราบของ x86 อีกเลย ... โดยเฉพาะในส่วนของชุดคำสั่งต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปใช้ ชุดคำสั่ง EPIC ซึ่งทาง Intel ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับชุดคำสั่ง EPIC นี้ว่า เป็นชุดคำสั่งที่ออกแบบมาเพื่อ ผู้ออกแบบ ระบบ hardware โดยจะช่วยทำให้เข้าถึง hardware ได้ง่าย และ มีสมรรถภาพเหนือกว่า สถาปัตยกรรมเดิม x86 อยู่มาก ... รวมถึงประสิทธิ ภาพที่ได้นั้น ก็จะมากกว่าเดิมอีกด้วย ... โดยทาง Intel ก็ได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า ชุดคำสั่ง EPIC นี้จะสามารถทำงานได้ทีละ 6 คำสั่ง ในช่วง สัญญาณนาฬิการอบเดียว ซึ่งมากกว่า ความเร็วของ Pentium III 32 Bit ในปัจจุบัน ที่ทำงานได้เพียงแค่ 1.5 ถึง 2 คำสั่ง ในช่วงเวลาเท่ากัน <br />
<br />
ในด้านของสถาปัตยกรรมบ้าง ... Itanium นี้จะเป็น CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม IA-64 ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบ 64 Bit ที่สนับสนุนทั้ง MMX และ SSE อย่างเต็มที่ รวมไปถึงยังสนับสนุน การทำงานแบบ 32 Bit ของ IA-32 อีกด้วย โดยเจ้า Itanium นี้ นอกจากจะมี Cache ระดับ 2 บนเวเฟอร์เดียวกันกับ CPU แล้ว ยังจะมี Off-Chip Cache ระดับ 3 ที่รองรับได้มากถึง 4 M อีกด้วย ( IMHO, Off-Chip Cache นี้ น่าจะเป็นเหมือนกับ Cache ระดับ 2 ที่มีอยู่ใน Pentium II หรือ Pentium III รุ่น ปัจจุบัน คืออยู่ใน Package เดียวกันกับ CPU แต่ไม่ได้อยู่ใน Chip CPU ) <br />
<br />
ก็ต้องยอมรับว่า Intel ใจเด็ดมาก ... เพราะเมื่อเปลี่ยนสถาปัตยกรรมใหม่ Software ที่ใช้ ก็ต้องเขียนใหม่ เพื่อให้รองรับกับสถาปัตยกรรมใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็น OS เช่น ต้องทำ 64 Bit Linux หรือ 64 Bit Windows เพื่อใช้สำหรับ Itanium ( EPIC ) ... หรือแม้แต่ Application ต่างๆ ก็จำเป็นต้อง เขียนใหม่ ให้สามารถใช้งานได้บน Itanium นี้ <br />
<br />
จริงๆ เหตุการณ์ทำนองนี้ Intel เองก็เคยทำมาแล้ว เมื่อคราวที่เปลี่ยนสถาปัตยกรรมจาก 486 ไปสู่ Pentium ... ซึ่งในตอนนั้น Intel ยังคงใช้พื้นฐานสถาปัตยกรรมจากทาง x86 อยู่ไม่ใช่น้อยๆ ก็เลยไม่มีปัญหาหนักเท่ากับคราวนี้ ... <br />
<br />
ในด้านตลาดระดับกลาง และระดับล่าง Intel ก็ยังคงใช้ Celeron เป็นตัวบุกตลาดด้านนี้เช่นเดิม และคาดว่า จะมีการใส่ Technology SSE เข้า ใน Celeron อีกทั้งยังมีข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับ Celeron III อีกด้วย <br />
<br />
ทางด้าน AMD Sledgehammer นั้น ก็มีแนวทางการพัฒนาที่แตกต่างไปอย่าง Intel Itanium อย่างสิ้นเชิง เพราะ AMD นั้น ยังคงใช้โครงสร้างหลัก จาก x86 เดิม เพียงแต่ได้ทำการแก้ไข ปรับปรุงในบางส่วน แล้วเรียกสถาปัตยกรรมใหม่นี้ว่า x86-64 <br />
<br />
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง AMD ได้ให้ความเห็นว่า ในบางเวลา หรือ ในการใช้งานบางอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้การประมวลผลแบบ 64 Bit เสมอไป เช่นงานด้าน Word Processing หรือ การปรับแต่ง/แก้ไข ภาพ เป็นต้น ดังนั้น ทาง AMD จึงยังคงให้ความสำคัญกับสถาปัตยกรรมเดิมคือ x86 อยู่ และยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ทาง Intel Itanium นั้น ก็ยังคงต้องใช้การจำลอง Mode การประมวลผลแบบ 32 Bit อยู่ดี เพื่อให้ใช้ได้กับ Application ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ 64 Bit ... โดยทาง AMD ก็ได้กล่าวอีกว่า ผู้พัฒนา Application นั้น ก็คงไม่อยากเสียเวลาแก้ไขโปรแกรมให้ใช้งานแบบ 64 Bit นักหละ เพราะผลต่างของประสิทธิภาพที่ได้เพิ่มขึ้น ก็ไม่ได้มากมายนัก ไม่คุ้มกับการเสียเวลา <br />
<br />
สิ่งหนึ่ง ที่น่าสนใจ ก็คือ ประสิทธิภาพใน Mode จำลองการประมวลผลแบบ 32 Bit ของ Itanium นี้ จะเป็นอย่างไร? ... ดีกว่า หรือว่า แย่กว่า การประมวล ผลแบบ 32 Bit ของ Pentium III รุ่นปัจจุบัน ... และเมื่อเทียบกับรุ่น Coppermine ล่ะ? จะเป็นอย่างไร ... คำถามนี้ ทาง Intel ได้ให้ความเห็นว่า จุดมุ่งหมาย หรือ ตลาดของ CPU ทั้ง 2 รุ่นนี้ ต่างกัน .. การออกแบบอะไรๆ ก็ต่างกัน ดังนั้น จะให้เอามาเปรียบเทียบกัน ก็คงเป็นไปไม่ได้ ... <br />
<br />
ในตลาดระดับกลาง และระดับล่าง ... ทาง AMD ก็จะยังคงใช้ K6-2 และ K6-III เป็นคู่หัวหอก ในการถล่มตลาดระดับนี้ โดยจะมี K6-2+ ซึ่งเป็น CPU K6-2 เดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมภายในบ้างอีกเล็กน้อย และมีข่าวออกมาบ้าง ว่า AMD จะยุติสายการผลิต K6-III แล้วหัวมา ใช้หัวหอกตัวเดียว คือ K6-2+ แทน เพราะ K6-2+ นั้นก็จะมี On-Die Cache เช่นเดียวกับ K6-III แล้ว แถมยังใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน อีกด้วย ซึ่งก็คาดว่า จะเริ่มเข้าบุกตลาดในราวๆ ต้นปี 2000 <br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><b>ศึกนี้ไม่จบสิ้นง่ายๆ </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b>[ First Post : 07 August 1999 ] </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b>[ Update 12 November 1999 ] </b><br />
</div><div style="text-align: center;"><b><br />
</b><br />
</div><b>ด้านการตลาด </b><br />
<br />
ทุกวันนี้ การแข่งขันด้านตลาด CPU ของ AMD และ Intel รุนแรงมาก ทั้งแข่งกันด้วย เทคโนโลยี และ ลูกเล่นทางการตลาดมากมาย <br />
<br />
แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น ต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาอยู่ไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้น กลไก การแข่งขัน ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็คือ กลไก ในเรื่องของราคา ซึ่งมีการลดราคา ห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงเลยทีเดียว <br />
<br />
จากการที่ Intel ได้ประกาศหั่นราคา CPU ของตน ทั้ง Pentium II/III และ Celeron ลงอย่างหนัก และประกาศหั่นราคาลงถี่มากๆ ทำให้ AMD เอง ก็ต้องหั่นราคาของตนลงด้วย เพราะ ในเมื่อ คุณภาพ ไม่ทิ้งกันมาก แต่หากราคาพอๆ กัน ก็จะทำให้ผู้ซื้อ ตัดสินใจลำบาก หรือ หากว่า คุณภาพด้อยกว่า เล็กน้อย แต่ราคาพอๆกัน ผู้ซื้อ ก็ไม่ลังเลเลย ที่จะซื้อของที่มีคุณภาพสูงกว่า จริงไหมครับ? <br />
<br />
ดังนั้น เมื่อ Intel ประกาศหั่นราคาลง ทาง AMD ก็จำเป็นต้องหั่นราคาลงด้วย ไม่ว่าจะเต็มใจ หรือ ไม่เต็มใจก็ตามที ผลที่ตามมานั้นก็คือ ผลกำไรลดลง <br />
<br />
จากรายงานทางการตลาดของ AMD ในไตรมาสที่ 2 ของปี 1999 นี้ สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ผลปรากฏว่า AMD มียอดขาดทุนสุทธิถึง 163 ล้าน USD จากยอดขายทั้งหมด 595 ล้าน USD ซึ่งจัดว่าเป็นมูลค่าไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว ยิ่งเมื่อเทียบกับเมื่อไตรมาสแรก ที่มียอดขาดทุนเพียงแค่ 65 ล้าน USD เท่านั้น <br />
<br />
W.J. Sanders ซึ่งเป็นประธาน และ CEO ของ AMD ได้ชี้แจงให้เห็นว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ( 1998 ) AMD สามารถ ทำกำไรจาก CPU ของตนได้ถึงตัวละ 100 USD เลยทีเดียว แต่แล้วเมื่อมีสงครามการห้ำหั่นราคากันหนักข้อขึ้น ก็ทำให้กำไรจาก CPU ของตนเหลือเพียงตัวละ 78 USD และ ท้ายสุดก็หล่นมาเหลือเพียง 6 USD เท่านั้น <br />
<br />
ดังนั้นหากมีสงครามห้ำหั่นราคากันอย่างหนักต่อไป ก็คงเป็นปัญหากับทาง AMD แน่นอน ... <br />
<br />
แล้ว ปัญหานี้ไม่เกิดกับ Intel หรือ? เกิดครับ เกิดแน่นอน ... แต่ไม่มีผลกระทบที่หนักเท่ากับ AMD เพราะ Intel นั้นเป็นบริษัท ที่ใหญ่กว่า และ มีโรงงานผลิตที่ใหญ่ และ มากกว่า ดังนั้นต้นทุนในการผลิต และ การบรรจุ Package ก็น้อยกว่า ถึงแม้ว่า จะได้กำไรน้อยลง จากสงครามการหั่นราคา แต่ก็ไม่ทำให้ Intel สูญกำไรไปเสียทีเดียว เพราะ อย่างไรซะ Intel ก็ยังคงได้กำไร ในส่วนของ CPU สำหรับ High-End Computer หรือ Server ในตระกูล Xeon มากกว่า เพราะถึงแม้จะคู่แข่งอย่าง SUN แต่ก็ไม่ได้ก่อสงครามการหั่นราคา เพื่อแย่งตลาดกันรุนแรง เหมือนกับ Low-End Computer ทำให้ทาง Intel ยังมีกำไร และ ได้ผลบวกตรงจุดนี้อยู่ <br />
<br />
<br />
<b>ด้านเทคโนโลยี </b><br />
<br />
ในด้านเทคโนโลยี ถึงแม้ว่า จะมีการแข่งขันกันช้ากว่าด้านการตลาด แต่ก็ได้มีการบอกถึงแผนงานต่างๆ รวมถึง แผนการออกแบบ CPU เพื่อมาข่มขวัญกันอยู่เป็นระยะๆ มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา เพื่อใช้เป็นจุดขาย และ เป็นจุดเด่นของ CPU ของตน <br />
<br />
ทุกวันนี้ AMD ก็ได้แก้คำครหา ว่าเป็นผู้ตามหลัง Intel ในด้านเทคโนโลยี ได้แล้ว เพราะสามารถสร้าง CPU ของตน ให้ก้าวล้ำนำ Intel ไปบ้างแล้ว แม้ว่าจะติดปัญหาด้านอื่นๆ ไม่ใช่น้อยๆ ก็ตามที แต่ถ้ามองเฉพาะด้าน CPU แล้ว ก็นับว่า AMD ทำได้สำเร็จ โดยเฉพาะด้านการประมวลผลเชิงทศนิยมที่สามารถพัฒนา และ ปรับปรุงให้ดีขึ้นมา ทัดเทียม หรืออาจจะเหนือกว่า Intel ในบางด้านแล้ว นอกจากนั้น ยังมีแผนงานสำหรับ CPU รุ่นใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ และ ระดับความเร็วสูงๆ ออกมาเกทับทาง Intel อยู่เป็นระยะๆ <br />
<br />
ส่วนทางด้าน Intel เอง ก็ไม่ได้น้อยหน้า โดยการชิงเปิดตัว CPU ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิต 0.18 ไมครอนก่อนทาง AMD และยังมี เทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอ ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ... ผลัดกันเกทับอยู่เป็นระยะๆ ... <br />
<br />
ด้านเทคโนโลยีนี้ คงหาผู้ชนะกันลำบาก เพราะผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะอยู่เป็นช่วงๆ ผู้แพ้ ผู้ชนะ ก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้น <br />
<br />
<b>บทสรุป และ ความเห็นส่วนตัว</b><br />
<b><br />
</b><br />
ดูเหมือนว่า ต่างฝ่าย ต่างก็งัดเอาอาวุธใหม่ๆ เข้ามาห้ำหั่นกันอยู่เป็นระยะๆ นะครับ ดูแล้วไม่น่าจะจบสิ้นกันง่ายๆ ทาง Intel เองนั้น ก็คงจะลำบากหน่อย เพราะว่าต้องรับมือหลายทาง ทั้ง ด้านตลาด Desktop PC ที่ต้องรับมือกับทั้ง AMD และ Cyrix ( VIA ) ตลาด Chipset แข่งกับทาง ( VIA และ ALI ) และรวมไปถึงตลาดเครื่อง Server ที่มีคู่แข่งอีกหลายเจ้า ทั้ง SUN และ Compaq ( Alpha ) แต่ในขณะที่ทาง AMD นั้น แม้จะมี Chipset ของตนเองออกมาบ้างแล้ว และ พยายามจะผลักดัน CPU ตัวใหม่ๆ ของตนให้เข้าสู่ตลาด Server ด้วย แต่ก็ยังไม่เน้นหนักไปทางนั้นสักเท่าไร <br />
<br />
โดยความเห็นส่วนตัว ณ เวลานี้ ความเร็วของ CPU ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีผลกับความรู้สึกในการทำงานแล้ว แม้ว่าจะเพิ่มความเร็วกันให้ถึงระดับ 1 GHz ก็ไม่ให้ความรู้สึกว่าเร็วขึ้นจาก 300 MHz สักเท่าไร เพราะเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ยังคงเป็นตัวหน่วงให้ระบบอยู่ อย่างน้อยๆ ก็ Harddisk ละครับ ที่ยังคงเป็นตัวหน่วงความเร็วของระบบมาช้านานแล้ว ดังนั้น ถ้าทาง AMD จะหันมาสนใจด้านการตลาดบ้าง หาพันธมิตรทางการค้าเพิ่มเติมบ้าง ก็จะดีกว่านี้ไม่น้อย ... เพราะทุกๆวันนี้ แม้เทคโนโลยีจะทัดเทียม หรืออาจจะนำหน้าทาง Intel ไปบ้างแล้ว แต่ด้านการตลาดยังคงตามหลัง Intel อยู่หลายก้าวเลย ... <br />
<br />
จะอย่างไรก็ดี แม้ว่าเทคโนโลยีของทุกวันนี้ จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีการคิดค้นสถาปัตยกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ และ มีการแข่งขันกันทางตลาด อย่างมาก ทั้งเรื่องราคา และ เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นาๆ เพื่อให้หันมาใช้ CPU รุ่นใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป ที่เราจะต้อง ตามซื้อ เพื่อไล่ตามให้ทันเทคโนโลยีอยู่เสมอไป ... ทั้ง AMD และ Intel แข่งขันกัน ผลดีนั้นตกอยู่ที่ผู้บริโภค เพราะจะได้ซื้อ CPU คุณภาพดี ให้เหมาะสมกับงานที่ใช้ และ ราคาไม่แพง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการเลือกซื้อ / เลือกใช้ด้วย <br />
<br />
บทความนี้ คงจะขอจบลงที่ตรงนี้ แต่ สงครามการแข่งขันชิงความเป็นเจ้าตลาดของ AMD และ Intel ยังไม่จบ ยังคงมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆ หากว่ามีข้อมูล ทั้งด้านการตลาด และ ด้านเทคโนโลยี เข้ามาเพิ่มอีกมาก ก็อาจมีภาค 2 ต่อ ก็เป็นได้ ... <br />
<br />
แต่อย่างไรซะ ก็อยากฝากข้อคิดไว้สักข้อ ( แม้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้สักเท่าไร ) ก็คือ " เราควรจะรู้ให้เท่าทันเทคโนโลยี แต่ ไม่จำเป็นจะต้อง ทำตัวตามให้ทันเทคโนโลยีเสมอไป " ขอบคุณครับ<br />
<br />
<script type='text/javascript'>
var gaJsHost = (("https:" == document.location.protocol) ? "https://ssl." : "http://www.");
document.write(unescape("%3Cscript src='" + gaJsHost + "google-analytics.com/ga.js' type='text/javascript'%3E%3C/script%3E"));
</script><br />
<script type='text/javascript'>
try {
var pageTracker = _gat._getTracker("UA-10893202-1");
pageTracker._trackPageview();
} catch(err) {}</script>Unknownnoreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-61264495345553173592009-09-24T08:15:00.000-07:002009-09-24T08:15:45.717-07:00Cache นั้นสำคัญไฉน<b>• Cache คืออะไร? และ ที่มาของ Cache </b><br />
<br />
<b>Cache</b> นั้น ถ้าว่ากันตามหลักการ มันก็คือ หน่วยความจำชนิดหนึ่ง ซึ่งจะมีความเร็วในการเข้าถึง และการถ่ายโอนข้อมูล ที่สูง โดยจะมีหน้าที่ในการเก็บ พัก ข้อมูลที่มีการใช้งานบ่อยๆ เพื่อเวลาที่ CPU ต้องการใช้ข้อมูลนั้นๆ จะได้ค้นหาได้เร็ว โดยที่ไม่จำเป็น ที่จะต้องไปค้นหาจากข้อมูลทั้งหมด <br />
<br />
เปรียบเทียบกันง่ายๆ ก็เหมือนกับการอ่านหนังสือ แล้วเวลาที่เจอข้อความที่น่าสนใจ ก็ทำการจดบันทึกไว้ที่สมุด แล้วเมื่อเวลาต้องการ ข้อมูลนั้นๆ ก็สามารถค้นหาจากในสมุดจดได้ง่ายกว่า เปิดหาจากหนังสือทั้งเล่ม แน่นอน ข้อมูลที่จดลงในสมุดนั้น มีขนาดน้อยกว่า ในหนังสือแน่ๆ คงไม่มีใครที่จะลอกข้อมูล ทุกบันทัด ทุกหน้าของหนังสือ ลงในสมุดจดเป็นแน่แท้ <br />
<br />
เรามาว่ากันถึงเรื่อง Cache ของเรากันต่อดีกว่า จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ในปัจจุบัน เราจะพบการใช้งาน Cache อยู่ 2 แบบ นั่นก็คือ Memory Cache และ Disk Cache โดยที่หลักการทำงานของทั้ง 2 ชนิดนี้ก็คล้ายๆ กัน กล่าวคือ Disk Cache นั้น จะเป็นการอ่านข้อมูลที่ต้องการใช้งานเข้ามาเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก เมื่อ CPU มีการเรียกใช้งาน ก็จะเข้าไปค้นหาในหน่วยความจำหลักก่อน หากว่าไม่พบจึงจะไปค้นหาใน Harddisk ต่อไป และ ในกรณีของ Memory Cache นั้น ก็เป็นอีกลำดับขั้นหนึ่งถัดจาก Disk Cache นั่นก็คือ จะทำการดึงข้อมูลที่มีการเรียกใช้งานบ่อยๆ เข้ามาเก็บไว้ในหน่วยความจำ ขนาดเล็ก ที่มีความไวสูงกว่าหน่วยความจำหลัก เมื่อ CPU ต้องการใช้งาน ก็จะมองหาข้อมูลที่ต้องการที่ หน่วยความจำขนาดเล็กนั้นก่อน ก่อนที่จะเข้าไปหาในหน่วยความจำหลักที่ มีการเข้าถึงและการส่งถ่ายข้อมูลที่ช้ากว่าต่อไป และ หน่วยความจำขนาดเล็กๆ นั้น เราก็เรียกมันว่า Cache นั่นเอง <br />
<br />
สำหรับในบทความนี้ เราจะพูดถึงเรื่อง Memory Cache กันอย่างเดียว เพราะฉะนั้นผมจะขอเรียกแค่สั้นๆว่า Cache ก็ขอให้เป็นอันเข้าใจตรงกันนะครับ ว่ามันหมายถึง Memory Cache <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhC4rczKIOt7B7hDn7RYf2oMqq74R3-PrEONwMTKEG9htroSIW1n8hxRTYqUNwCQLUBqmhQSptp6P30PCjMtT1BYKlZa5rcNCs0iglJOxjpjg4NmtJSKMM8SH7fQZ_KUAzQWbXeXdy8I7Ew/s1600-h/Cache-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhC4rczKIOt7B7hDn7RYf2oMqq74R3-PrEONwMTKEG9htroSIW1n8hxRTYqUNwCQLUBqmhQSptp6P30PCjMtT1BYKlZa5rcNCs0iglJOxjpjg4NmtJSKMM8SH7fQZ_KUAzQWbXeXdy8I7Ew/s320/Cache-1.jpg" /></a><br />
</div><br />
<b>Cache</b> นั้น ตำแหน่งของมัน จะอยู่ระหว่าง CPU กับ หน่วยความจำหลัก โดยมันจะทำการดึง หรือ เก็บข้อมูลที่มีการเรียกใช้งานบ่อยๆ จากหน่วยความจำหลัก ซึ่งความไวในการอ่าน หรือ ส่งถ่ายข้อมูลจาก Cache ไปยัง CPU หรือ จาก CPU ไปยัง Cache นั้น จะทำได้เร็วกว่า จากหน่วยความจำหลักไปยัง CPU หรือจาก CPU ไปยังหน่วยความจำหลัก มาก เพราะทำด้วย SRAM ซึ่งมีความไวสูง และมีราคาแพงกว่าหน่วยความจำของระบบที่เป็น DRAM อยู่มาก และก็เพราะราคาที่แพงนี้ ทำให้ขนาดของ Cache ที่ใช้ในระบบ จึงมีขนาดน้อยกว่าหน่วยความจำหลักอยู่มากเช่นกัน <br />
<br />
DRAM หรือ Dynamic RAM นั้นจะทำการเก็บข้อมูลในตัวเก็บประจุ ( Capacitor ) ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการ refresh เพื่อ เก็บข้อมูลให้คงอยู่ โดยการ refresh นี้ ทำให้เกิดการหน่วงเวลาขึ้นในการเข้าถึงข้อมูล และก็เนื่อง จากที่มันต้อง refresh ตัวเองอยู่ตลอดเวลานี้เอง จึงเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า Dynamic RAM <br />
<br />
ส่วน SRAM นั้นจะต่างจาก DRAM ตรงที่ว่า DRAM จะต้องทำการ refresh ข้อมูลอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะที่ SRAM จะเก็บข้อมูลนั้นๆ ไว้ และจะไม่ทำการ refresh โดยอัตโนมัติ ซึ่งมันจะทำการ refresh ก็ต่อเมื่อ สั่งให้มัน refresh เท่านั้น ซึ่งข้อดีของมัน ก็คือความเร็ว ที่เร็วกว่า DRAM ปกติมาก แต่ก็ด้วยราคาที่สูงกว่ามาก จึงเป็นข้อด้อยของมันเช่นกัน <br />
<br />
จากที่กล่าวมาข้างต้น ก็ดูเหมือนว่า Cache นั้น มีความสำคัญ ต่อความเร็วของระบบอยู่ไม่ใช่น้อย แล้วทำไมเราถึงเพิ่งจะให้ความสำคัญกับมันล่ะ? เพราะว่า เพิ่งมีการใช้ Cache กับ CPU รุ่นใหม่ๆ อย่างนั้นหรือ? <br />
<br />
เปล่าเลย จริงๆแล้ว เรามีการใช้ Cache มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่รุ่น 80486 ซึ่งสมัยนั้นทาง Intel ก็ได้เริ่มมีการใส่ Cache ให้กับ CPU ของตน โดยเริ่มใส่ขนาด 8KB ในรุ่น 486DX-33 และ ได้ทำการเพิ่มเป็น 16KB ในรุ่น 486DX4 เป็นต้นมา ซึ่ง Cache ที่ใส่ไปนั้น ได้ใส่เข้าไปในแกนหลักของ CPU เลย ทำให้การติดต่อระหว่าง CPU กับ Cache นั้น ทำได้เร็วมาก และมีการใช้ Cache อีกขั้นหนึ่ง โดยใส่ไว้ที่ Mainboard ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า แต่ช้ากว่า Cache ที่ใส่ไว้ในแกน CPU <br />
<br />
เมื่อ CPU ต้องการข้อมูลใดๆ ก็จะทำการค้นหาจาก Cache ที่อยู่ภายในแกน CPU ก่อน หากว่าพบข้อมูลที่ต้องการ ( เรียกว่า Cache Hit ) ก็จะดึงข้อมูลนั้นๆ มาใช้งานได้เลย แต่หากไม่พบ ( เรียกว่า Cache Miss ) ก็จะทำการค้นหาในส่วนของ Cache ที่อยู่บน Mainboard ต่อไป และ หากว่ายังไม่พบอีก ก็จะไปค้นหาในหน่วยความจำหลักต่อไปอีกขั้น และหากว่าในหน่วยความจำหลักนั้น ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ต้องการ ก็จะไปค้นหาต่อใน Harddisk ต่อไป <br />
<br />
ด้วยตำแหน่งในการเก็บ Cache ที่ต่างกัน และ ลำดับขั้นในการเรียกใช้งานต่างกัน จึงเรียก Cache ที่อยู่ในแกนของ CPU ว่า Internal Cache หรือ Level 1 Cache ( L1 Cache ) และ เรียก Cache ที่อยู่บน Mainboard นั้นว่าเป็น External Cache หรือ Level 2 Cache ( L2 Cache ) <br />
<br />
ต่อมา ใน CPU รุ่น Pentium ของ Intel นั้น ก็ได้ทำการแบ่ง Cache ภายใน ออกเป็น 2 ส่วนเพื่อแยกการทำงานกัน ซึ่งก็ได้แบ่งจาก 16KB นี้ ออกเป็น 8KB เพื่อใช้ เก็บคำสั่งต่างๆ เรียกว่า Instruction Cache และ อีก 8KB เพื่อใช้เก็บข้อมูลต่างๆ เรียกว่า Data Cache <br />
<br />
และต่อมา CPU ในรุ่น Pentium II ของทาง Intel นั้น ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งการเก็บ Cache ระดับ 2 ซึ่งจากปกติจะจัดเก็บไว้ บน Mainboard ก็ทำการย้าย มาเก็บไว้บน Package เดียวกับ CPU ( CPU Intel Pentium II นั้น จะมีลักษณะเป็น Cartridge แผ่นกว้างๆ มี CPU อยู่ตรงกลางและ เก็บ Cache ไว้ข้างๆ แล้วรวมกันเป็น Package เดียวกัน เรียกว่า Single Edge Contact Cartridge หรือ SECC แต่ก็ยังคงเรียก Cache ที่อยู่บน SECC ว่าเป็น External Cache หรือ Level 2 Cache เช่นเดิม เพราะยังคง อยู่ภายนอกตัว CPU เพียงแค่อยู่บน Package เดียวกันเท่านั้น <br />
<br />
แต่ด้วยราคาที่สูงมากของ CPU Pentium II ในสมัยที่เพิ่งวางตลาดนั้น ทำให้มีผู้ที่มีอำนาจในการซื้อมาใช้งานน้อย ทาง Intel จึงได้ตัด Cache ระดับ 2 ออก จาก Pentium II เพื่อลดต้นทุนการผลิต และ เปลี่ยนรูปแบบ Package ให้ดูบางลง แล้วเรียก CPU ใหม่นี้ว่า Celeron และ เรียก Package ของ Celeron ว่า Single Edge Processor Package <br />
<br />
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมาแล้วว่า Cache นั้นมีราคาสูง เพราะฉะนั้น เมื่อตัด Cache ระดับ 2 ออกทำให้ราคาของ Celeron ถูกกว่า Pentium II อยู่มาก และ ทาง Intel ก็หวังจะใช้ Celeron ที่ราคาถูกนั้น ตีตลาดระดับกลาง และ ระดับล่าง <br />
<br />
แต่แล้วก็ฝันสลาย เพราะ Celeron ที่ไม่มี Cache นั้น ในด้านการเล่นเกมส์ ที่ไม่มีการเรียกใช้ Cache เท่าไร ทำคะแนน หรือ มีความสามารถ เทียบเท่ากับ Pentium II ที่ระดับความเร็วเท่าๆ กัน แต่ ในงานด้าน Office Application เช่น Microsoft Word, Microsoft Excell กลับทำได้แย่มากๆ จากที่เห็นก็คือ Celeron ที่ความเร็ว 300 MHz นั้น เมื่อใช้งานกับ Application ดังกล่าว กลับช้ากว่า Pentium MMX 233 เสียอีก ทำให้ Celeron รุ่นดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก <br />
<br />
ทาง Intel จึงได้ผลิต Celeron รุ่นใหม่ที่ได้เติม Cache ระดับ 2 เข้าไปด้วย โดยให้มีขนาดเพียง 1/4 ของ Pentium II แต่ให้ทำงานด้วย ความเร็วเท่ากับ ความเร็วของ CPU ( Cache ระดับ 2 ของ Pentium II นั้นจะทำงานที่ความเร็วเพียงครึ่งหนึ่งของความเร็ว CPU ) และเพียงแค่เพิ่ม Cache ระดับ 2 เข้าไปนี้เอง ผลคะแนนที่ได้จากการทำงานกับ Application ดังกล่าวนั้น กลับเพิ่มขึ้นมามาก ต่างจาก รุ่นเดิมที่ไม่มี Cache อย่างเห็นได้ชัด <br />
<br />
นี่เป็นจุดหนึ่งละนะ ที่ทำให้ Cache เริ่มเป็นที่สนใจ มากขึ้น แต่ยังไม่หมดเท่านี้ อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เรื่องของ Cache นั้น เป็นที่กล่าวถึง กันมากขึ้นในขณะนี้ เกิดจากการประกาศตัวของ AMD K6-III <br />
<br />
AMD K6-III มีอะไรดี ถึงทำให้เรื่องของ Cache เป็นที่น่าสนใจนัก อันนี้คงต้องเท้าความกลับไปอีกสักนิดหนึ่งก่อน ว่า CPU ของ AMD นั้นก็มีการใช้ Internal Cache และ External Cache เช่นเดียวกับ CPU ของ Intel มาโดยตลอด เมื่อ Intel เปลี่ยนสถาปัตยกรรมใหม่ เอา Cache ไปไว้บน Package ของ CPU และไม่มีการใช้ Cache บน Mainboard อีกต่อไป แต่ทาง AMD ก็ยังคงใช้งานบน สถาปัตยกรรมเดิม คือมี Internal Cache ภายใน CPU และมี External Cache อยู่บน Mainboard เรื่อยมา จนถึงรุ่น AMD K6-2 <br />
<br />
พอมา AMD K6-III ( หรือก็คือ AMD K6-3 แต่มีการเปลี่ยนชื่อ เพื่อให้สอดคล้องกับ Intel Pentium III ) ทาง AMD ก็ได้ทำการ เพิ่ม Cache เข้าไปที่ Package ของ CPU บ้าง ( แต่ไม่ได้รวมเข้าไปในแกนของ CPU ) และ ก็ยังคงให้มี Cache บน Mainboard เช่นเดิม ดังนั้น จึงเกิดมีการใช้งาน Cache ถึง 3 ระดับด้วยกัน ( เรียกว่า Tri-Level Cache ) โดย ระดับแรกสุดนั้น ก็คือ Cache ที่อยู่ภายในแกนของ CPU เลย ระดับถัดมา ก็อยู่บน Package ของ CPU และ ระดับสุดท้ายอยู่บน Mainboard ซึ่งขนาดของ Cache ก็จะมากขึ้นตามลำดับ ในขณะที่ความเร็วในการใช้งานกลับลดลงตามลำดับ <br />
<br />
และนี่เอง จึงทำให้เรื่องของ Cache นั้นเป็นที่น่าสนใจยิ่งนัก ทั้งเรื่องที่ว่า ขนาดของ Cache ที่มีใน Celeron มีน้อย แต่ทำงานด้วยความเร็วสูง เท่ากับความเร็ว CPU ส่วน Pentium II มี Cache มากกว่า Celeron แต่ทำงานด้วยความเร็วเป็นครึ่งหนึ่ง ของ CPU อย่างไหนสำคัญกว่ากัน ขนาด หรือ ความเร็ว? และ เรื่องของ Tri-Level Cache ใน AMD K6-III นั้น จะทำให้ระบบเร็วขึ้นจริงไหม? มี Cache หลายระดับดีกว่าไหม? <br />
<br />
เราจะมาดูกันต่อไป ถึงรายละเอียด และ ความสำคัญของ Cache ในแต่ละระดับกันต่อไป <br />
• Cache ระดับ 1 ( Level 1 cache ) <br />
<br />
Cache ระดับ 1 นั้น จะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และตำแหน่งของมันก็จะอยู่ใกล้ๆ กับตัว CPU ที่สุด ทำให้ CPU สามารถเข้าถึงได้รวดเร็วมาก ซึ่งโดยปกติแล้วขนาดของมัน ก็จะไม่ใหญ่นัก เช่น สำหรับ CPU Intel Pentium II หรือ Intel Celeron จะมี L1 Cache ขนาดเพียง 32 KB และ บน AMD K6-2 จะมีขนาด 64 KB ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีขนาดเพียง เล็กน้อย แต่ก็มีความสำคัญมาก <br />
<br />
ลองดูผลการทดลองประกอบ เพื่อดูความสำคัญของ Cache ทั้ง 2 Level นะครับ <br />
o AMD K6-2 350MHz บน ASUS P5A ( L2 512KB ) <br />
o PC100 SDRAM 1x128 MB <br />
o Matrox Millenium G200 8 MB Display Card Driver Version 4.26 <br />
o ทดสอบโดย Program Final Reality 1.01 บน Windows 98 / DirectX 6.0 <br />
o ทดสอบ 4 ครั้ง โดยทดสอบ ครั้งที่ 1 L1 on L2 on, ครั้งที่ 2 L1 on L2 off, ครั้งที่ 3 L1 off L2 on และ ครั้งสุดท้าย L1 off L2 off <br />
<br />
ผลที่ได้จากการทดสอบเป็นดังกราฟนี้ครับ <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdX53-nKYl7rVZSVhCVpVMRM0H82GISJ7lo-smM0DZjPwNLVdgzAq8UaWrJ2eNbj1PxLDCCeDhlE8buQlU7XXTvE-UkxlNmwn3goOeQIS8P65m-pNAB3iOAkqgiRLT0qArNqBDBFEMqQTd/s1600-h/Cache-2.1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdX53-nKYl7rVZSVhCVpVMRM0H82GISJ7lo-smM0DZjPwNLVdgzAq8UaWrJ2eNbj1PxLDCCeDhlE8buQlU7XXTvE-UkxlNmwn3goOeQIS8P65m-pNAB3iOAkqgiRLT0qArNqBDBFEMqQTd/s320/Cache-2.1.jpg" /></a><br />
</div><br />
จากรูป จะเห็นว่า เมื่อ disable L1 cache แล้ว Performance จะ drop ลงอย่างเห็นได้ชัดๆ เลย และ เช่นกัน เมื่อ disable L2 Cache แล้ว Performance ก็ drop ลงเช่นกัน แต่ก็ยังเห็นผลได้ไม่ชัดเจนเท่ากับการ disable L1 Cache <br />
<br />
เอาละ ทีนี้ดูผลการทดสอบอย่างไม่เป็นทางการของผมประกอบนะครับ <br />
o Intel Pentium II 300 MHz ( L1 32KB, L2 512 KB ) บน DFI LX ( ที่ office ) <br />
o PC 66 SDRAM 1x32 MB <br />
o ทดสอบโดย Wintum 98 version 1.0.33 <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJ_p5ZlzLKdymtVxn_3LccUgM6V3vybG_gPcxreyUtC4tzM8IhyphenhyphenDVIhodnppXM7POFMTWL5ehrfyqnhvC7iw31KbqONzYVeCVguQqB0pkNz2mJa2M89HexzhQ2JrL0ugOT86Q2jobts5Aq/s1600-h/Cache-2.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJ_p5ZlzLKdymtVxn_3LccUgM6V3vybG_gPcxreyUtC4tzM8IhyphenhyphenDVIhodnppXM7POFMTWL5ehrfyqnhvC7iw31KbqONzYVeCVguQqB0pkNz2mJa2M89HexzhQ2JrL0ugOT86Q2jobts5Aq/s320/Cache-2.png" /></a><br />
</div><br />
<br />
<b>หมายเหตุ</b> * หมายถึง ใช้เวลาในการ boot นานมาก ( มากกว่า 5 นาที ) และ เมื่อเรียก Program ก็ค้างไปเลย ( ไม่ hang แต่นานมาก ก็เลยไม่ได้ทดสอบ ) <br />
<br />
<br />
จากผลการทดลองข้างต้น ทั้ง 2 การทดลอง ก็พอจะสรุปกันได้แล้วนะครับ ถึงความสำคัญของ Level 1 Cache และ Level 2 Cache โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับ Level 1 Cache นั้น เมื่อผมปิดการใช้งานของมันที่ BIOS เท่านั้นหล่ะ ( Disable Level 1 Cache ) กว่าจะ boot ทีนึงก็นานเลย กว่าจะทำอะไรๆ ก็ลำบาก จะขยับ mouse ยังยากเลยครับ พอเรียก program ก็รอกว่า 5 นาที ถึงจะขึ้นหน้าจอมา ยิ่งถ้า เป็น mode ที่ disable ทั้งL1 และ L2 cache นั้น พอเรียก program ก็หยุดนิ่งไปเลย <br />
<br />
Level 1 cache นั้น จะทำงานด้วยความเร็วที่เท่ากับ CPU เลย ( คงเพราะฝังอยู่ในตัว CPU ) และ สำหรับกว่าที่ว่า ยิ่งมี Cache มากๆ ก็จะยิ่งเร็วกว่า แน่นอนว่า คำกล่าวนี้เป็นจริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดทุกกรณี เพราะว่ามีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย ดังจะเห็นได้จาก L1 cache ของ Intel Pentium II ซึ่ง มี ขนาดเพียง 32 KB แต่มีการเข้าถึงได้ 4 ทิศทาง ( 4 way associative ) ในขณะที่ AMD K6-2 จะมี L1 cache ขนาด 64 KB แต่มี การเข้าถึงได้เพียง 2 ทิศทาง ( 2 way associative ) ซึ่งในกรณีของการเข้าถึงแบบสุ่มนั้น Intel จะทำได้เร็วกว่า AMD <br />
• Cache ระดับ 2 ( Level 2 cache ) <br />
<br />
ส่วนถัดมาในการค้นหาข้อมูลของ CPU เมื่อค้นหาใน Cache ระดับ 1 ไม่พบ ก็คือ Cache ระดับ 2 ซึ่ง ขนาดของ Level 2 Cache นั้น ก็จะต่างกัน ตามรุ่น และ ชนิดของ CPU นั้นๆ ซึ่ง ก็แน่นอน จะมีความของความเร็วแตกต่างกันไปด้วย <br />
<br />
จากที่กล่าวมาแล้วเมื่อตอนต้นๆ ถึงเรื่องของ Celeron กับ Pentium II ที่ว่า Celeron นั้นมี Cache ระดับ 2 เพียง 128 KB แต่ทำงานด้วยความเร็วเท่าๆ กับ CPU ส่วน Pentium II จะมี Cache ระดับ 2 ถึง 512 KB แต่ทำงานด้วย ความเร็วเพียง ครึ่งหนึ่งของความเร็วของ CPU แล้วอย่างไหน สำคัญกว่ากัน ความเร็ว หรือว่าขนาด <br />
<br />
เราจะมาดูผลการเปรียบเทียบประสิทธิภาพกันระหว่าง Pentium II กับ Celeron ซึ่งดูจะยุติธรรม และ เป็นกลางที่สุด เพราะว่า ต่างก็ใช้แกนของ CPU เหมือนๆกัน จะต่างกันก็เพียงแค่ขนาด และ ความเร็วของ Cache ระดับ 2 เท่านั้น <br />
<br />
ให้สังเกตุที่รูปข้างล่าง 2 รูปต่อไปนี้ ซึ่งเป็นกราฟแสดงผลเปรียบเทียบ Performance ระหว่าง Pentium II 300 และ Celeron 300A ด้วย Mainboard ASUS P2B ส่วน spec อื่นๆ ก็ตามที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น ( ตอนทดสอบ K6-2 ) <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRmrKMhtl5tNiAO0C52ybRhgmxC3pwGz_vZ6ktcA6DbELntvjBuxzqBHtEQKCUApPHX0pVQtnOQR5g8Phms1-faspcR66ieOoBQC93DrvxkcBW_rI__6evPYkZBy8rB5-Fjf8avbDtUnEx/s1600-h/Cache-3.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRmrKMhtl5tNiAO0C52ybRhgmxC3pwGz_vZ6ktcA6DbELntvjBuxzqBHtEQKCUApPHX0pVQtnOQR5g8Phms1-faspcR66ieOoBQC93DrvxkcBW_rI__6evPYkZBy8rB5-Fjf8avbDtUnEx/s320/Cache-3.png" /></a><br />
</div><br />
จะเห็นได้ว่า มี Level 2 Cache มากๆ นั้น ให้ Performance ที่ดีกว่าจริงๆ แต่ก็ไม่มากนัก เห็นผลไม่ชัดเจน เมื่อเทียบ กับ Celeron ที่มี Level 2 Cache ที่เร็วๆ <br />
<br />
อย่างไรก็ตาม ขนาดของ Level 2 cache นั้น ก็ยังเป็นจุดหลักสำคัญของ Performance เพื่อลดการ access disk โดยการอ่านข้อมูลมาเก็บไว้ที่ RAM และนำส่วนสำคัญๆ ที่ใช้บ่อยๆ มาเก็บที่ Cache นั้น ถ้า Cache มีขนาดที่ใหญ่ๆ การที่จะต้องอ่านข้อมูลจาก RAM ซึ่งช้ากว่า Cache นั้น ก็ทำได้ดีกว่า ยิ่งกับระบบ Network-File-Server นั้น ยิ่งมี Cache มากๆ และ เร็วๆ จะยิ่งดี ดังนั้น Intel Pentium II Xeon จึงมี L2 Cache 512K หรือมากกว่านั้น และ ทำงานที่ความเร็วเท่าๆ กับ CPU <br />
<br />
สำหรับ AMD K6, K6-2 นั้น ใช้ cache ซึ่งอยู่บน Mainboard ซึ่ง ความเร็วสูงสุด ก็ตาม FSB ที่ใช้ เช่น K6-2 300 MHz นั้น Level 2 Cache ก็จะมี ความเร็ว ที่ 100 MHz ( FSB 100 MHz ) แต่ Intel Pentium II - 300 MHz นั้น จะมี Level 2 Cache ที่ความเร็ว 150 MHz และ Celeron 300A จะมี Level 2 Cache ที่มีความเร็วถึง 300 MHz ซึ่งสำหรับ AMD K6-2 กับ Pentium II นั้น ดูไม่แตกต่างเท่าไร แต่หากว่า เป็น Pentium II 400 ล่ะ จะมี Levl 2 Cache ที่ทำงานที่ 200 MHz ในขณะที่ AMD K6-2 400 MHz ก็ยังใช้ Cache ที่ทำงานด้วยความเร็ว 100 MHz เช่นเดิม นั่นก็เป็นส่วนสำคัญจุดหนึ่งที่ทำให้ผล Performance ในเรื่อง Memory Performance ของ AMD ด้อยกว่า Intel Pentium II และ Celeron <br />
<br />
แต่ในสำหรับ AMD K6-3 นั้น ทาง AMD ได้รวม Level 2 cache เข้ากับ Package เดียวกับ CPU เลย โดยเก็บฝังไว้บนตัวของ CPU เช่นเดียวกับ Celeron แต่มีขนาดเป็น 2 เท่า และ ทำงานที่ความเร็วเท่าๆ กับ CPU ซึ่งก็ทำให้ AMD K6-3 นั้น มี L2 cache มากกว่าถึง Celeron 2 เท่า และ มี Level 2 cache ที่ความเร็วเป็น 2 เท่าของ Pentium II ( ที่ความเร็วเท่าๆกัน ) <br />
<br />
มาดูความสำคัญของ Levl 2 cache จากการทดลองอื่นๆ บ้างนะครับ อันนี้เป็นการทดลองของทางบริษัท Level 2 Company กันนะครับ โดยใช้ Program Ziff-Davis' Ver. 3.0 program MAC version ( ทดสอบกับเครื่อง Mac ) โดยทดสอบกับ L2 cache ขนาด 256 KByte และ 1024 KByte โดยผลที่ได้นี้ เป็น เปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นจากการที่ไม่มี L2 cache <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPfiP3Nprbu36ZEdWrqS3qH_m-6cTaxC2TkneAtxTnfoeafKLUIJkCqIg2_umJxu0-ngcj6Ypmj1mt6iWchbypKvUz65JtYdwDm_jPMeFpIi6XXjl4u7iOaJE-4i6IeGEECpR4_hFz9wT-/s1600-h/Cache-4.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPfiP3Nprbu36ZEdWrqS3qH_m-6cTaxC2TkneAtxTnfoeafKLUIJkCqIg2_umJxu0-ngcj6Ypmj1mt6iWchbypKvUz65JtYdwDm_jPMeFpIi6XXjl4u7iOaJE-4i6IeGEECpR4_hFz9wT-/s320/Cache-4.png" /></a><br />
</div><br />
ก็เป็นผลไว้ดูคร่าวๆนะครับ เพราะเป็นผลบนเครื่อง Mac แต่ผลที่ได้ก็สามารถใช้เป็นข้อสรุปได้เช่นกันถึงความสำคัญ ของ Cache ได้เช่นกัน <br />
• Cache ระดับ 3 ( Level 3 cache ) <br />
<br />
AMD K6-III นั้น มีจุดที่น่าสนใจมากๆ อย่างหนึ่ง นั้นก็คือ K6-III นั้นจะมี Level 2 cache ฝังอยู่ใน chip CPU มาด้วย แต่ในขณะเดียวกัน Mainboard ที่ใช้สำหรับ AMD K6-III นั้น ก็มี Cache มาให้ด้วย ทำให้ มันมอง Cache บน Mainboard นั้นๆ เป็น Cache ระดับ 3 ( Level 3 Cache ) <br />
<br />
ทีนี้ เรามาลองดูกันว่า ถ้ามี Cache ระดับ 3 แล้ว Performance จะเพิ่มขึ้น หรือ ลดลงอย่างไร และ ขนาดของ Cache ระดับ 3 นั้นจะต้องเป็นเท่าไร โดยจากรูปนี้ เป็นการทดลองจาก Tom's Hardware เปรียบเทียบให้เห็นถึงผลของการมี Cache ระดับ 3 ที่ ขนาดต่างๆ โดยทดสอบกับ CPU AMD K6-III ( เพราะเป็นรุ่นเดียวในปัจจุบันที่มีการใช้งาน Cache ถึง 3 ระดับ ) <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicFW2KVTWSkIuMW7MTvydCwImVeZXdNjFI7irp4oYaCbSKOoNYETOs8HYSPMatRmFaDD1Dde29Rw9zD7qNHAOvuHI-RCCmZBm4P-AWdj8ChCR3Kp1q0VYpSrQIl9lki97IS8G-etxL6axX/s1600-h/Cache-5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicFW2KVTWSkIuMW7MTvydCwImVeZXdNjFI7irp4oYaCbSKOoNYETOs8HYSPMatRmFaDD1Dde29Rw9zD7qNHAOvuHI-RCCmZBm4P-AWdj8ChCR3Kp1q0VYpSrQIl9lki97IS8G-etxL6axX/s320/Cache-5.jpg" /></a><br />
</div><br />
<br />
จากกราฟ ก็คงจะเห็นถึง Performance ที่เพิ่มขึ้นเมื่อมี Cache ระดับ 3 และ Performance ที่เพิ่มขึ้น กับ ขนาดของ Cache ระดับ 3 แล้วนะครับ แต่จะเป็นเช่นนี้กับทุกกรณีหรือไม่ เรามาลองวิเคราะห์กันดูดีกว่านะครับ <br />
<br />
ถ้าผมกำหนดให้ เวลาที่ใช้ในการอ่านข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เป็นดังนี้ <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhy1esV1gguvTxDsdGlBzFkmYyQ8ZyNKOfgHsRBB8JrUZ6OqOyuhyphenhyphenrsGBo5S8_fG-vJyPYxAgB4Eq-a8x6OWB9H7vWF8UZF7uhet3OcQ2iefBQyL5KoBmgXJy8b9aCL9ZDatjfCTG7z0aee/s1600-h/Cache-6.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhy1esV1gguvTxDsdGlBzFkmYyQ8ZyNKOfgHsRBB8JrUZ6OqOyuhyphenhyphenrsGBo5S8_fG-vJyPYxAgB4Eq-a8x6OWB9H7vWF8UZF7uhet3OcQ2iefBQyL5KoBmgXJy8b9aCL9ZDatjfCTG7z0aee/s320/Cache-6.png" /></a><br />
</div><br />
เมื่อ CPU ต้องการข้อมูลเพื่อการประมวลผล ก็จะมองหาข้อมูลที่ต้องการดังกล่าวเสียก่อน จากใน Cache ระดับ 1 ซึ่งถ้าหาพบ ก็จะใช้เวลาเพียง ไม่เกิน 1 หน่วย แต่ถ้าไม่พบ ก็จะไปมองหาที่ Cache ระดับ 2 ต่อไป ถ้าหาพบ ก็จะใช้เวลาไม่เกิน 11 หน่วยเวลา ( 1+10 ) แต่ถ้าหาไม่พบ ก็ต้องเสียเวลา มากกว่า 11 หน่วยเวลาเพื่อไปค้นหาในหน่วยความจำหลัก หรือ ใน Cache ระดับ 3 ต่อไป <br />
<br />
ถ้าไม่มี Cache ระดับ 3 การหาข้อมูลนั้น เมื่อหาจากใน Cache ทั้งระดับ 1 และ ระดับ 2 ไม่พบ ก็จะเข้าไปหาที่หน่วยความจำหลักต่อไป ซึ่งถ้าพบ ก็จะใช้เวลามากกว่า 11 ( 1+10 ) หน่วยเวลา แต่ไม่เกิน 1,011 ( 1+10+1,000 ) หน่วยเวลา แต่ถ้ามี Cache ระดับ 3 ก็จะทำการเข้าไปค้นหาใน Cache ระดับ 3 ต่อไป ซึ่งเวลาที่ใช้ ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของ Cache ระดับ 3 นั้นด้วย ซึ่งถ้าหาพบใน Cache ระดับ 3 ก็จะใช้เวลาที่มากกว่า 11 หน่วยเวลา แต่น้อยกว่า 111 ( 1+10+100 ) หน่วยเวลา สำหรับ Cache ระดับ 3 ขนาด 512KB และ น้อยกว่า 211 ( 1+10+100 ) สำหรับ Cache ระดับ 3 ขนาด 1,024 KB และ น้อยกว่า 411 ( 1+10+400 ) สำหรับ Cache ระดับ 3 ขนาด 2,048KB ซึ่งจะสังเกตุได้ว่า ถ้าสามารถหาข้อมูลพบใน Cache ระดับ 3 นั้น เวลาที่ใช้งาน ก็น้อยกว่า การที่ไม่มี Cache ระดับ 2 อยู่มากกว่าเท่าตัว <br />
<br />
แต่ถ้าไม่พบล่ะ? ถ้าไม่พบข้อมูลที่ต้องการใน Cache ระดับ 3 ก็จะเสียเวลาในการค้นหาที่มากขึ้น ก่อนที่จะไปค้นหาในหน่วยความจำหลักต่อไป ซึ่งตรงจุดนี้เอง ก็เป็นผลทำให้ Performance ที่ได้ลดลง แต่อย่างไรก็ตาม การที่มี Cache ระดับ 3 ขนาดใหญ่นั้น โอกาสที่จะทำให้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการ นั้นก็มากขึ้น <br />
<br />
สำหรับอัตราส่วนระหว่าง Level 2 ต่อ Level 3 นั้นก็มีส่วนสำคัญ เช่นเดียวกันกับ อัตราส่วนระหว่าง Level 1/Level 2 หากว่า CPU มองหา ข้อมูลที่ต้องการใน Cache ระดับใดๆ ไม่เจอ ก็จะทำการค้นหาใน Cache ระดับถัดไป ซึ่งจะมีความเร็วช้ากว่า แต่มีขนาดใหญ่กว่า แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าใน Cache ระดับถัดไปนั้น ขนาดไม่ใหญ่ โอกาสที่จะหาข้อมูลที่ต้องการเจอนั้น ก็มีน้อยกว่า ( เพราะมีเนื้อที่ น้อยกว่า ทำให้โอกาสที่จะดึงข้อมูลจาก RAM มา แล้วตรงกับที่ต้องการนั้น เป็นไปได้น้อยกว่า ) ก็ทำให้ CPU นั้น เสียเวลา ในการค้นหาไปอย่างสูญเปล่า ( ในกรณีที่หาไม่พบ ) แล้วก็จะทำให้ผล Performance นั้นช้ากว่า จากที่ควรจะเป็น ปกติแล้ว อัตราส่วนจะเป็นระหว่าง Cache ระดับถัดมาต่อ Cache ระดับก่อนหน้า จะเป็น 4:1 เช่น Level 2 Cache /Level 1 Cache ของ Celeron จะเป็น 128:32 ( 4:1 ) และ K6-3 จะเป็น 256:64 ( 4:1 ) ยกเว้นของ Pentium II ที่เป็น 512:32 ( 16:1 ) <br />
<br />
ทาง AMD ก็ได้อ้างว่า ด้วย Cache 1Mb บน Mainboard นั้น จะทำให้ Performance เพิ่มขึ้น 3-4 % ( L3/L2 = 1024/256 = 4/1 ) ซึ่ง ปัจจุบันนั้น ก็มี Mainboard ที่มี ทั้ง Cache 1M และ 512 K ให้เลือก เพราะฉะนั้น นี่คงเป็นตัวช่วยในการพิจารณาตัวหนึ่งแล้วนะครับ สำหรับผู้ที่คิดจะใช้ AMD K6-3 ว่าควรจะใช้ Mainboard อะไรดี สำหรับการ disable Level 3 Cache นั้น คิดว่า เป็นไปได้ โดยผ่านทาง BIOS ซึ่งก็น่าจะมีผลช่วยในการ Overclock ให้ได้มากขึ้น <br />
<br />
คราวนี้เราลองย้อนกลับไปดูถึงตอนแรก ที่ผมเปรียบเทียบเรื่อง Cache กับการจดโน๊ตย่อลงสมุดนั้น เราอาจสรุปได้ว่า สมองของเราเป็น Cache ระดับ 1 เพราะเมื่ออ่านและเห็นว่าข้อความไหน หรือประโยคไหนที่น่าจำที่สุด สำหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา ก็คงอาจเล็งไว้แล้วว่า ตรงนี้ อาจารย์ต้องเอามาออกข้อสอบแน่ๆ ก็จะอ่านแล้วท่องจำเอาไว้ และ เมื่อเกินความสามารถที่จะท่องจำ ก็ทำการจดโน๊ตย่อไว้ในสมุดเล่มเล็กๆ นั่นก็คือ Cache ระดับ 2 นั่นเอง และ บางทีในการอ่าน ก็อาจมีเรื่องที่น่าสนใจมากๆ จดโน๊ตย่อไม่ไหว ก็อาจใช้ปากกาขีดข้อความสำคัญๆหรือทำการคั่นหน้าหนังสือตรงนั้นไว้ นั่นก็คือ Cache ระดับ 3 นั่นเองครับ <br />
<br />
ก็เห็นกันแล้วนะครับ ว่า ขนาดของ Cache นั้น เป็นสิ่งสำคัญ และ ความเร็วของ Cache นั้น ก็สำคัญเช่นกัน แต่ ถ้าให้เลือก ระหว่าง Celeron 300A ซึ่งมี Level 2 cache 128 K ทำงานที่ความเร็วเท่าๆ กับ CPU กับ Pentium II 300 ที่มี L2 cache 512 K ทำงานเป็นครึ่งหนึ่ง แต่ราคานั้นต่างกันเท่าตัว ในขณะที่ Performance ในด้านที่ไม่เกี่ยวกับ Business นั้น แทบไม่ต่างกัน ก็ขอเลือก Celeron จะดีกว่า ( ถูกกว่าตั้งเยอะ ) <br />
<br />
แต่หากว่าต้องใช้งานด้าน Business แล้วละก็ คงจะต้องเลือก CPU ที่มี Cache มากๆ ไว้ก่อน เพราะถึงแม้ว่า Cache นั้นจะเร็ว แต่มีขนาดน้อย เปอร์เซ็นต์ในการหาข้อมูลพบใน Cache ก็น้อยลง ถึงแม้จะถูกชดเชยด้วยความเร็ว แต่มันก็ทำให้ Cache นั้นต้องรับ ภาระที่หนักมากขึ้นไปด้วย <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOUpfU3AmcT1D5GB8LbZGxv76U2TsTCKp6XmVSOyF99uZZPF2Pulk2TkzyQOBUHptLLX_BBVK6BccuqaWc8yFpQe6aQ0DB87xFhOznwZo8yIQVBd0aNumSfWKzzvAHQWF84IOXCNkHUKIp/s1600-h/Cache-7.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOUpfU3AmcT1D5GB8LbZGxv76U2TsTCKp6XmVSOyF99uZZPF2Pulk2TkzyQOBUHptLLX_BBVK6BccuqaWc8yFpQe6aQ0DB87xFhOznwZo8yIQVBd0aNumSfWKzzvAHQWF84IOXCNkHUKIp/s320/Cache-7.png" /></a><br />
</div><br />
<br />
<b>อ้างอิงข้อมูลจาก </b><br />
o เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Intel Celeron <br />
o เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ RAM <br />
o Cache and More Cache at OverClocker.com<br />
o Cache and everything about cache at PC Guide<br />
o Introduction about Cache at WebOpedia<br />
o What's Cache โดย L2 Company.Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-51333939014800364842009-09-24T07:54:00.000-07:002009-09-24T07:54:14.017-07:00agp pro ปกติเป็นของเมนบอร์ด Asus<b>GA card แบบ AGP</b><br />
===============<br />
AGP ย่อมาจาก Accelerated Graphics Port พัฒนาโดย<br />
Intel โดยอ้างอิงอยู่กับมาตรฐาน PCI 2.1 จึงมีแบนด์วิดท์อยู่ที่<br />
66 MHz. จุดประสงค์ของ AGP ก็เพื่อเพิ่มความเร็วในการแสดง<br />
ผลโดยเฉพาะกับวัตถุ 3 มิติและการทำพื้นผิวที่เรียกว่า texture<br />
ทำให้การแสดงผลภาพวิดิโอที่ละเอียดและราบรื่นมากขึ้น<br />
<br />
สำหรับการพัฒนา AGP โดยอินเทลเริ่มใช้ตั้งแต่ยุคของ Slot-1 และ<br />
Pentium II ในปัจจุบันก็ยังมีใช้อยู่รวมทั้งบอร์ดของซ็อคเก็ต 7 ที่<br />
เรียกว่า Super 7 ก็สนับสนุน AGP ด้วย AGP ยุคแรกเป็น AGP <br />
แบบ 1X ต่อมา 2X และที่สูงสุดตอนนี้คือแบบ 4X ทีมีในเมนบอร์ด<br />
ที่ใช้ชิพเซ็ตรุ่นใหม่ ๆ<br />
<br />
การสร้างภาพ 3 มิติจะมีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วนคือ การสร้างวัตถุ<br />
3 มิติและการทำพื้นผิว โดยทั่วไปหน้าที่การสร้างวัตถุ 3 มิติจะเป็นหน้าที่<br />
ของซีพียูเนื่องจากซีพียูสามารถคำนวณเลขทศนิยมได้จำนวนมาก ๆ ได้<br />
ดีกว่าชิพแสดงผล ส่วนชิพแสดงผลที่อยู่ในการ์ดวีจีเอจะจัดการทางด้าน<br />
การทำพื้นผิวและแสงเงาต่าง ๆ ถ้ายิ่งมีการใช้พื้นผิวขนาดใหญ่ จำนวนบิต<br />
สีมาก ๆ แล้วจะต้องมีการโอนถ่ายข้อมุลจำนวนมากมายและต่อเนื่องเช่นเกมส์<br />
ประเภท 3 มิติ การเล่นเกมส์ให้ได้ความเร็วสูง ๆ แอพพลิเคชั่นทางธุรกิจ <br />
วิศวกรรมโยธา แอนิเมชั่นต่าง ๆ นี่ก็ต้องการแรมมมาก ๆ นะครับ อย่าคิดว่า<br />
เราไม่ได้ทำงานพวกนั้นนะครับก็อาจจะเป็นการเรียนหรือเอามาศึกษาครับ <br />
โปรแกรมที่ต้องการการประมวลผลที่ต้องการความเร็วนี่หากมีหน่วยความจำ<br />
มาก ๆ นี่ก็จะช่วยให้ความสามารถทางด้าน 3 มิติดีและเร็วครับ ไม่ต้องมามัว<br />
นั่งคอยทรมานอยู่นะครับ เช่น หากมีงานพรีเซนเตชั่นที่ต้องการให้เห็นสินค้า<br />
หรืออุปกรณ์ที่ต้องการเห็นในหลายมุมมองหรือที่ใกล้ ๆ ก็พวกชาร์ตของ<br />
เอ็กเซลที่แสดงผลแบบแอนิเมชั่นนะครับที่ขนาดใหญ่ ๆ นั้นต้องการหน่วย<br />
ความจำในการแสดงผลมากทีเดียวครับ การเพิ่มแรมบนการ์ดแสดงผลนั้น<br />
เป็นการแก้ปัญหาที่มีราคาแพงเพราะต้อนทุนในการผลิตแรมที่มีราคาสูง ถือว่า<br />
เป็นการสิ้นเปลือง การ์ดแบบ AGP ออกแบบมาเพื่อเป็นการแก้ปัญหานี้โดยจะ<br />
มีช่องทางที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ขึ้นอยู่กับบัสใด ๆ มีการจัดการเป็นของตน<br />
เอง ช่องทางที่สร้างขึ้นนี้จะทำการติดต่อระหว่าง System Memory หรือแรม<br />
ที่อยู่บนเมนบอร์ดติดต่อกับ Graphic Chip เพื่อเพิ่มความเร็วในการถ่ายข้อมูล<br />
และดึงเอาส่วนที่ว่างของ System Memory มาใช้ในการประมวลผลของ <br />
Texture ขนาดใหญ่ช่องทางนี้คือ AGP ทำให้ลดการใช้แรมจำนวนมากบนตัวการ์ด<br />
การ์ดวีจีเอแบบ AGP คุณสมบัติของการ์ด AGP คือ DIME หรือ Direct Memory<br />
Excecute การประมวลผลผ่านหน่วยความจำของระบบหรือแรมโดยตรง<br />
เสมือนว่าเป็นหน่วยความจำของตนเอง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีแรมบนตัวการ์ดแสดงผล<br />
ที่มากมาย<br />
<br />
ความจำหลักนั้นจะส่งผลให้มีการส่งผ่านข้อมูลของการ์ดวีจีเอมี<br />
ความรวดเร็วขึ้น การส่งผ่านข้อมูลของหน่วยความจำหลักจะขึ้น<br />
กับชนิดของหน่วยความจำดังนี้ครับ<br />
1. แบบ EDO DRAM.SDRAM จะได้ 528 MB/S<br />
2. แบบ SDRAM PC100 จะได้ 800 MB/S<br />
3. แบบ DRDRAM จะได้ 1.4 GB/S<br />
<br />
ดังนั้นการที่จะได้ความเร็วของการส่งผ่านข้อมูลของ AGP กี่ X นั้น<br />
ก็ต้องขึ้นกับชนิดของหน่วยความจำหลักด้วยครับ เช่น คุณใช้เมนบอร์ด<br />
ที่รองรับ AGP4X แต่ใช้ SDram ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถถึง 4X หรอกครับ<br />
เพราะแรมมีความไวไม่ถึงครับ<br />
<br />
<b>เข้าใจเรื่องกี่ X ของ AGP</b><br />
=================<br />
เมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลพื้นผิว ข้อมูลพื้นผิวจะถูกอ่านจากอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเช่น<br />
ฮาร์ดดิสก์หรือซีดีรอมเอาไปเก็บไว้ใน System Memory จากนั้น Graphic Chip<br />
จะประมวลผล Texture จาก System Memory ผ่านทางพอร์ต AGP เมื่อได้ผลลัพธ์<br />
แล้วจะส่งมายังบัฟเฟอร์ซึ่งก็คือ Local Video Memory เพื่อนำมาแปลงเป็นสัญญาณ<br />
ภาพแสดงที่มอนิเตอร์อีกทีหนึ่ง<br />
AGP มีความกว้างของบัสเท่ากับ 32 บิตเหมือนกับ PCI แต่แตกต่างตรงกับที่มันวิ่งที่<br />
ความเร็วเท่ากับความเร็วของ FSB ซึ่งต่างกับ PCI ที่วิ่งด้วยความเร็วครึ่งหนึ่งของ FSB<br />
หากเป็นบัสความไว 66 MHz. ก็จะปรับค่าสัดส่วน AGP เป็น 1/1 บนบัสความไว 100 MHz.<br />
จะปรับค่าสัดส่วน AGP เป็น 2/3 ส่วนเมนบอร์ดรุ่นใหม่ที่ใช้บัว 133 MHz. ก็จะปรับค่า<br />
สัดส่วน AGP เป็น 1/2 ทำให้การโอนถ่ายข้อมูลของ AGP มีมากกว่า PCI ถึง 2 เท่า นอก<br />
จากนั้น AGP ยังสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 2 ครั้งต่อ 1 รอบสัญญาณนาฬิกาโดยจะทำการส่ง<br />
ข้อมูลทั้งขอบขาขึ้นและขาลงของสัญญาณนาฬิกา ทำให้มีการโอนถ่ายข้อมูลมากกว่า PCI <br />
ถึง 4 เท่าหรือ ประมาณ 528 MB./s และเนื่องจาก AGP เป็นบัสแบบ pipeline ซึ่งทำให้<br />
ชิพวีจีเอสามารถประมวลและโอนถ่ายข้อมูลข้อมูลเป็นได้อย่างเต็มที่ อีกทั้ง AGP ยังได้เพิ่มบัส<br />
พิเศษอีก 8 เส้นเรียกว่า Sideband Addressing สำหรับให้ชิพวีจีเอประมวลผลคำสั่ง<br />
พร้อมกับส่งข้อมูลผ่านทางเมนบัส 32 เส้นได้Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-26492377373801851512009-09-17T16:32:00.000-07:002009-09-17T16:32:33.275-07:00การวิเคราะห์และแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ในส่วนของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป มักพบกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่แล้วต้องทำการเรียกช่างเทคนิคเพื่อทำการตรวจซ่อม ซึ่งถ้าหากว่าในหน่วยงานนั้น ไม่มีช่างเทคนิค หรือบุคคลที่ทำจะการแก้ไขปัญหานั้นๆ ได้ จำเป็นต้องใช้บริการจากร้านซ่อมทั่วไป ซึ่งตรงนั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา<br />
<br />
เอกสารชุดนี้ เป็นการรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการใช้งานคอมพิวเตอร์ และแนวทางแก้ไขปัญหาเบื้องต้นที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานต่อไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นการประหยัดรายจ่ายได้อีกทางหนึ่ง<br />
<br />
การรวบรวมปัญหา จะเป็นปัญหาทั่วไปที่ไม่เจาะลึกไปถึงทางด้านเทคนิค เป็นปัญหาที่มักพบเสมอสำหรับผู้ใช้ทั่วไป (ไม่รวมถึงช่างเทคนิค) ซึ่งเมื่อพบปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องใช้เวลาในการตามช่างเทคนิคให้มาทำการแก้ไขให้ แม้ว่าปัญหานั้นอาจดูง่ายในส่วนของช่างเทคนิค แต่ผู้ใช้ทั่วไป มันเป็นเรื่องใหญ่เสมอ<br />
แนวทางในการวิเคราะห์และแก้ปัญหาในเอกสารนี้ จะเป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป เป็นแนวทางที่จะสามารถทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานเป็นปกติในเบื้องต้นก่อนที่จะทำการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์</span></b><br />
ในการที่จะทำการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ จำเป็นที่ผู้ใช้ทั่วไปต้องทราบถึงการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ก่อน ต้องทราบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มทำงานอย่างไร เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นก็จะสามารถที่จะวิเคราะห์ได้ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ส่วนใด ทำให้การกำหนดสาเหตุได้แคบลงการแก้ปัญหาก็สามารถที่จะทำได้ง่าย<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ขั้นตอนการเริ่มทำงานของระบบคอมพิวเตอร์</span></b><br />
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ การที่จะทำการแก้ไขปัญหานั้นๆ ต้องกระทำอย่างเป็นขั้นตอน โดยเรียงลำดับได้ ดังนี้<br />
• ทำการวิเคราะห์ว่าปัญหาเกิดที่ส่วนใด<br />
• ทำให้ระบบตอบสนองการทำงานให้ได้<br />
• ทำให้เครื่องสามารถบู้ตระบบให้ได้อีกครั้ง<br />
<br />
ส่วนมากแล้วจะมุ่งไปที่ส่วนสุดท้ายซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญน้อยที่สุด การวิเคราะห์ปัญหา<br />
เป็นส่วนที่สำคัญที่จะทำให้เราทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและทำการแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้นโดยที่อาจไม่กระทบไปถึงข้อมูลที่อยู่ภายในของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถที่จะรักษาข้อมูลเดิมไว้ได้<br />
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เรากำลังพูดถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เคยทำงานได้ดี แต่มาถึงตอนนี้กลับทำงานไม่ได้ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย (อาจมีผู้ใช้มากกว่าหนึ่งคน) <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ขั้นตอนการบู้ตเครื่องคอมพิวเตอร์</span></b><br />
ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราอยู่ในสภาพที่ปกติจะมีขั้นตอนการทำงาน ดังนี้<br />
1. ฮาร์ดแวร์ทำงาน และจัดการตามที่ระบุไว้อย่างถูกต้อง<br />
2. BIOS มีการโหลด MBR(Master Boot Record)และส่งผ่านการควบคุมไปที่ MBR<br />
3. MBR ทำการโหลด DBR(Dos Boot Record) และส่งผ่านการควบคุมไปที่ DBR<br />
4. DBR ทำการโหลดไฟล์ที่ซ่อนไว้<br />
5. ไฟล์ที่ซ่อนไว้คือ IO.SYS ทำงานและทำการอ่าน CONFIG.SYS และไฟล์ MSDOS.SYS ทำงาน<br />
6. โหลดไฟล์คำสั่ง COMMAND.COM ของผู้ใช้เครื่อง<br />
7. มีการทำงานใน AUTOEXEC.BAT<br />
<br />
<b>การบู้ตขั้นที่ 1 : การตรวจสอบฮาร์ดแวร์</b><br />
ขั้นแรกจะมีการตรวจสอบฮาร์ดแวร์ว่าทำงานและมีการตอบสนองต่อระบบอย่างถูกต้อง โดย Controller จะถามถึงฮาร์ดแวร์ว่าอยู่ที่นั่นหรือเปล่า โดยการสั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน สำหรับฮาร์ดดิสก์แล้ว เครื่องจะสั่งให้ทำการเลื่อนหัวอ่าน/บันทึก ไปที่ Cylinder 0 ก่อนแล้วย้ายไปอยู่ที่ Cylinder สูงสุดแล้วกลับมายัง Cylinder 0 อีกครั้ง<br />
<br />
การทำงานจะเป็นไปตามนี้เมื่อมีการกำหนด ค่า Configuration อย่างถูกต้อง และสายต่อต่างๆ อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและแน่นหนา รวมทั้งฮาร์ดแวร์ต้องทำงานอย่างถูกต้อง<br />
<br />
<b>กรบู้ตขั้นที่ 2 : โหลด MBR และตรวจสอบความถูกต้องของตารางพาร์ติชั่น</b><br />
ถ้าการเซ็ตอัพฮาร์ดแวร์เป็นไปอย่างถูกต้อง เครื่องจะปรากฏแสงที่ตำแหน่งของฮาร์ดแวร์ขึ้นมาในช่วงสั้นๆ ในขณะที่ทำการบู้ตเครื่อง ในส่วนของฮาร์ดดิสก์นั้นแสดงให้ทราบว่าระบบกำลังอ่าน MBR ซึ่งอยู่ที่ตำแหน่ง head 0, cylinder 0, sector 1 ถ้าความพยายามในการอ่านไม่ได้ผล ไดรว์จะไม่ได้รับความสนใจจากระบบ และอาจมีรายงานว่า “Drive 0 failure” ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ BIOS ของระบบที่ติดตั้งอยู่ในระบบเอง<br />
<br />
MBR ประกอบด้วยตารางพาร์ติชันซึ่งนับว่าเป็นส่วนที่สำคัญของฮาร์ดดิสก์ซึ่งจะอธิบายว่าฮาร์ดดิสก์มีการแบ่งเนื้อที่อย่างไรและโปรแกรมสั้นๆ สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของตารางพาร์ติชันนั้นด้วย ถ้าตารางพาร์ติชันถูกต้อง มันจะใช้รายละเอียดในตารางพาร์ติชันสำหรับค้นหา และโหลด DBR จากพาร์ติชันที่ทำงาน<br />
<br />
ในส่วนของโปรแกรมสั้นๆ ที่อยู่บน MBR มีหน้าที่ 3 ประการดังนี้<br />
1. ตรวจสอบว่าตารางพาร์ติชันนั้นถูกต้อง<br />
2. ค้นหาพาร์ติชันที่บู้ตได้ หรือทำงานบนไดรว์ได้<br />
3. โหลดเซกเตอร์แรกของพาร์ติชันนั้น ในกรณีที่เป็นพาร์ติชันของ DOS จะเรียกเซกเตอร์แรกว่า DBR(Dos Boot Record)<br />
<br />
<b>การบู้ตขั้นที่ 3 : ตรวจสอบ (DBR)</b><br />
ถ้าไม่มีปัญหาในส่วนของ MBR ระบบจะทำการโหลดข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับเซกเตอร์ที่เรียกว่า DBR เข้าไปและทำให้ DBR ทำงานได้<br />
<br />
ตารางพาร์ติชันจำแนกตำแหน่งของ DBR โดยการชี้ตำแหน่งดังกล่าว ระบบคอมพิวเตอร์ส่วนมากจะบรรจุ DBR ไว้ที่ตำแหน่ง cylinder 0, head 1, sector 1 เฉพาะกรณีที่ใช้ระบบปฏิบัติการตัวเดียว แต่ถ้าเป็นแบบอื่นอาจไม่เป็นดังตัวอย่าง<br />
<br />
<b>หน้าที่ของ DBR มี 5 ประการดังนี้</b><br />
1. รีเซ็ตไดรว์ที่บู้ตได้<br />
2. โหลดเซกเตอร์แรกของไดเร็คทอรีหลักเข้าไว้ในหน่วยความจำ<br />
3. ตรวจสอบ 2 entries แรกว่าเป็นชื่อของไฟล์ที่ซ่อนอยู่<br />
4. โหลดไฟล์ที่ซ่อนอยู่ลงในหน่วยความจำ<br />
5. ส่งผ่านการควบคุมไปยังไฟล์ที่ซ่อนอยู่<br />
<br />
DBR ได้บรรจุโครงสร้างที่สำคัญของข้อมูลที่เรียกว่า BPB(The BIOS Parameter Block) <br />
เนื่องจาก DBR เป็นเซกเตอร์แรกในพาร์ติชัน BPB จึงประกอบด้วยข้อมูลซึ่งอธิบายรายละเอียดของพาร์ติชันให้ DOS รู้<br />
<br />
<b>การบู้ตขั้นที่ 4 : โหลดไฟล์ที่ซ่อนอยู่</b><br />
DBR จะโหลดไฟล์ที่เป็นหัวใจของระบบการทำงาน 2 ไฟล์เข้าไว้ในหน่วยความจำ ซึ่งได้แก่ไฟล์ IO.SYS และ MSDOS.SYS ระบบจะไม่บู้ตถ้าไฟล์ทั้งสองนี้ไม่ถูกต้องหรือไม่มีไฟล์ทั้งสองนี้อยู่(ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากฮาร์ดแวร์หรือซอฟท์แวร์ก็ตาม)<br />
<br />
<b>การบู้ตขั้นที่ 5 : ตรวจสอบคำสั่ง CONFIG.SYS</b><br />
ระบบจะดำเนินการบู้ตต่อไปโดยโหลดไฟล์ที่ซ่อนอยู่ไฟล์แรก และให้มันทำงาน ซึ่งจะทำการโหลดคำสั่ง CONFIG.SYS แล้วให้มีการทำงานตามคำสั่งนี้ คำสั่งใน CONFIG.SYS ที่สำคัญคือคำสั่ง “DEVICE=” ซึ่งใช้ในการโหลดดีไวซ์ไดรเวอร์ที่จำเป็นในการเข้าสู่ไดรว์ต่างๆ ที่ติดตั้งไว้<br />
<br />
<b>การบู้ตขั้นที่ 6 : ระบบจะทำการโหลด COMMAND.COM</b><br />
COMMAND.COM เป็น User shell หมายความว่ามันเป็นโปรแกรมที่ใช้อ่านคำสั่งของผู้ใช้เครื่อง และแปลคำสั่งนั้นไปสู่ระบบการทำงาน สำเนาของคำสั่ง COMMAND.COM ที่ไม่ถูกต้องจะทำให้ระบบไม่สามารถบู้ตได้<br />
<br />
<b>การบู้ตขั้นที่ 7 : Autoexec.bat ทำงาน</b><br />
Command.com จะเรียกคำสั่งต่างๆ ใน Autoexec.bat ตามลำดับ ถ้าคำสั่งผิดปกติจะทำให้เสียระบบการทำงานไปด้วย<br />
<br />
จากขั้นตอนการบู้ตเครื่องจะเห็นว่า ขั้นตอนที่ทำให้ไม่สามารถอ่านไดรว์ได้เลยคือขั้นที่ 1 และ ขั้นที่ 2 ซึ่งเป็นขั้นตอนการตรวจสอบฮาร์ดแวร์และ MBR ในขั้นที่ 3 DBR จะมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับ DOS เวอร์ชั่นหลังๆ และขั้นที่ 5 CONFIG.SYS มีความสำคัญสำหรับไดรว์เพิ่มเติมเช่น CD-ROM เป็นต้น<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>การวิเคราะห์อาการและการแก้ปัญหาเบื้องต้น</b></span><br />
การวิเคราะห์อาการและการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น จะต้องเริ่มต้นพิจารณาตั้งแต่การเริ่มต้นเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เพื่อที่จะสามารถตรวจสอบได้ว่าปัญหาเกิดขึ้นในช่วงใดของการบู้ตระบบ โดยพิจารณาทีละขั้นตอน<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">การตรวจสอบฮาร์ดแวร์ </span></b><br />
หลังจากเปิดสวิทช์ให้ระบบทำงาน CPU จะถูกรีเซ็ตให้ไปอ่านข้อมูลที่ BIOS เพื่อทำการตรวจสอบฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่ออยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์<br />
<br />
BIOS : Basic Input Output System จะเป็นตัวแรกที่ทำงานโดยจะเริ่มกระบวนการที่เรียกว่า POST : Power On Self Test เพื่อทำการทดสอบระบบต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ โดยจะเช็คระบบต่างๆ ว่าทำงานเป็นปกติหรือไม่<br />
<br />
ในขั้นตอนนี้จะทำการติดต่อกับหน่วยความจำ ไดรว์ คีย์บอร์ด ฮาร์ดดิสก์ จอภาพ และอุปกรณ์ในส่วนอื่นๆ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาในขั้นตอนนี้เครื่องจะทำการเตือนด้วยข้อความที่จอภาพ(กรณีที่ติดต่อกับจอภาพได้) แต่ถ้าติดต่อกับจอภาพไม่ได้เครื่องจะแจ้งเป็นเสียงแทน<br />
<b>ข้อความแสดงความผิดพลาด</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv5RRFkhSAtDt3GvN9Weh5YJ44WJRiId63tf90ChpfFlN15nEfGiR3IXuZ1YUQJhJTBB2T-rpiJpyRQqkXpZpmI0qQyM06xjzbQpA6UBCPlTU2oOKLAhRqQ67OjEhLcIifqZW9HJ_6IcsN/s1600-h/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-1.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv5RRFkhSAtDt3GvN9Weh5YJ44WJRiId63tf90ChpfFlN15nEfGiR3IXuZ1YUQJhJTBB2T-rpiJpyRQqkXpZpmI0qQyM06xjzbQpA6UBCPlTU2oOKLAhRqQ67OjEhLcIifqZW9HJ_6IcsN/s320/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-1.png" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">(คลิกที่รูปดูภาพขนาดใหญ่)</div><br />
<span style="color: blue;"><b>การ POST เสียงของ BIOS</b></span><br />
รหัสเสียงของ BIOS แต่ละยี่ห้ออาจจะแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่รหัสเสียงจะใช้สองลักษณะ คือเสียงสั้น และเสียงยาว และใช้ทั้งสองแบบรวมกัน เพื่อให้ได้ความหมายที่มากพอ<br />
<b>รหัสเสียง BIOS Award</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEXWvUaKm7LHywmmQORPDgKgn5K-rIZglGZc2a7ZWJK_iQMS4T3_Iyd4WKfMhFXmPwwT7gVW8KsuyOtBttEztwjnXwzC02MNJTZtP0tT4GFELfyE7DhED5NAXNnGKuWsywO2J5ZyLYQO7A/s1600-h/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-2.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEXWvUaKm7LHywmmQORPDgKgn5K-rIZglGZc2a7ZWJK_iQMS4T3_Iyd4WKfMhFXmPwwT7gVW8KsuyOtBttEztwjnXwzC02MNJTZtP0tT4GFELfyE7DhED5NAXNnGKuWsywO2J5ZyLYQO7A/s320/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-2.png" /></a></div><div style="text-align: center;">(คลิกที่รูปดูภาพขนาดใหญ่)</div><br />
จากตารางรหัสตัวอย่างเสียงของ BIOS ซึ่งเป็น ยี่ห้อที่นิยมใช้โดยทั่วไปในเครื่องที่เป็นแบบ Home User ส่วนยี่ห้ออื่นๆ เช่น BIOS Phoenix จะมีใช้ในเครื่องประเภทแบรนด์เนม เป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของรหัสเสียงก็ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ผู้ใช้ หรือผู้ดูแลระบบจะต้องใช้การสังเกตเอาเอง<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">การโหลด MBR และตรวจสอบความถูกต้องของตารางพาร์ติชัน</span></b><br />
ขั้นตอนนี้จะกระทำต่อเนื่องจากการตรวจสอบฮาร์ดแวร์เรียบร้อยแล้ว มันจะทำการค้นหาพาร์ติชันที่บู้ตได้ของดิสก์ไดรว์ ในขั้นตอนการทำงานนี้ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นจะมีข้อความแสดงความผิดพลาดขึ้นมาข้อความใดข้อความหนึ่งดังนี้ Invalid partition table, Error Loading Operating system หรือ Missing operating system การวิเคราะห์ให้ดูตามผังการทำงานของ MBR<br />
<b>โครงสร้างของ MBR</b><br />
<b><br />
</b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWpUkZrIU6btUNRNC4XV-Vh2B4OgEkN4swtCjXlnxVGWh65zd8uoKzaZC3pg3Y3K_P_pr0RfUyHjIYUwnqiolFThNmba6jagpLQrqY5VNULNt24LbvTR-e4BH2oEctlwblIwJcK3deLzqU/s1600-h/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-3.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWpUkZrIU6btUNRNC4XV-Vh2B4OgEkN4swtCjXlnxVGWh65zd8uoKzaZC3pg3Y3K_P_pr0RfUyHjIYUwnqiolFThNmba6jagpLQrqY5VNULNt24LbvTR-e4BH2oEctlwblIwJcK3deLzqU/s320/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-3.png" /></a></div><br />
<br />
<b><span style="color: blue;">การทำงานของ DBR</span></b><br />
หลังจากระบบทำการโหลด MBR เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำการเรียกให้ DBR ทำงานเป็นตัวถัดไป การวิเคราะห์ปัญหาในช่วงการทำงานนี้สามารถวิเคราะห์ได้จากผังการทำงาน<br />
<b>โครงสร้างของ DBR</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyze00YWP_POTo_wQaMsuO__WybDSa6opEnG4GxDQOCqczwHCRJWaQpInbMl8t_UIWY-EsvJuexJ0126J6R5XcE9Ss7sm_L0eZsDBgqCPbLo3cyv3AFdraXJYQLqruo8WP402TurRNPStv/s1600-h/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-4.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyze00YWP_POTo_wQaMsuO__WybDSa6opEnG4GxDQOCqczwHCRJWaQpInbMl8t_UIWY-EsvJuexJ0126J6R5XcE9Ss7sm_L0eZsDBgqCPbLo3cyv3AFdraXJYQLqruo8WP402TurRNPStv/s320/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-4.png" /></a></div><br />
<br />
<b><span style="color: blue;">การทำงานของโปรแกรมระบบ</span></b><br />
ในขั้นตอนนี้เป็นการทำงานที่เกิดขึ้นหลังจากการตรวจสอบฮาร์ดแวร์เรียบร้อยแล้ว ถ้าเป็นระบบ DOS จะมีการเรียกใช้ไฟล์ Config.sys เพื่อทำการโหลดดีไวซ์ไดรเวอร์ของอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น หลังจากนั้นจึงทำการเรียกใช้ไฟล์ Command.com เพื่อทำการติดต่อกับผู้ใช้งาน และสุดท้ายเป็นการเรียกใช้งาน Autoexec.bat ซึ่งเป็นขั้นตอนเรียกใช้โปรแกรมที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นระบบ ต่อไป ส่วนของ Windows’95/98 นั้น จะต่างจาก DOS ตรงที่ไฟล์ Config.sys และ Autoexec.bat จะไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก แต่จะเป็นการเรียกใช้งาน Windows Registry ซึ่งเป็นส่วนที่เก็บการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับระบบไว้<br />
ในขั้นตอนนี้ถ้ามีปัญหาจะพบกับข้อความต่อไปนี้<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfaHToANUeJb-_foipMo_eJl685jICpxYZN9vljs0-DOLw0ZC295HgcxvGqxypPUgkAzblTeqGevfvFCF0ANYVOCFy4GPJo5SU2YcRZtvdqWmiSg4n36uWsfNR7iyaTRz-qxgNkva_105m/s1600-h/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-5.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfaHToANUeJb-_foipMo_eJl685jICpxYZN9vljs0-DOLw0ZC295HgcxvGqxypPUgkAzblTeqGevfvFCF0ANYVOCFy4GPJo5SU2YcRZtvdqWmiSg4n36uWsfNR7iyaTRz-qxgNkva_105m/s320/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-5.png" /></a></div><br />
จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดจากการทำงานของระบบจะเกิดได้ในทุกขั้นตอนการทำงาน โดยแต่ละส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปโดยลักษณะของข้อความที่ปรากฏจะเป็นตัวบอกให้เราทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดกับส่วนใดของระบบนั่นเอง<br />
<br />
เมื่อใช้แนวทางในเบื้องต้นสำหรับการวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และทราบว่าเกิดขึ้นกับส่วนใดของระบบ เราก็สามารถที่จะทำการแก้ไขได้ง่ายขึ้นเนื่องจากเราได้กำหนดปัญหาให้<br />
แคบลง ทำให้การแก้ปัญหาทำได้เร็วขึ้นด้วย และเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด<br />
<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">แนวทางการแก้ปัญหา</span></b><br />
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ จะเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงตำแหน่งที่บรรจุข้อมูลสำคัญๆ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ และแต่ละส่วนมีผลถึงกัน ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งถูกลบหรือเสียไป จะทำให้ส่วนอื่นๆ ไม่สามารถที่จะทำงานต่อไปได้ เช่นถ้าหากตารางพาร์ติชันเสียหาย เราก็จะไม่อาจเข้าสู่ระบบได้แม้ว่าส่วนที่เป็น FAT จะยังสมบูรณ์ดีอยู่<br />
<br />
<b>ตำแหน่งข้อมูลที่สำคัญในเครื่องคอมพิวเตอร์</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjqAdv_zrbOZ4qRV3LZruu6NhElysiWDcKBMkpJYiawD_scazWAkG-BipvTVik2M6rQWGpdURK-TgSEXg_n7LkZrfJE2XqS73VYVPb4eX1-O8btsyNOfKG2DZF4Uf4aT0fAV8MKkAzxLCf4/s1600-h/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-6.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjqAdv_zrbOZ4qRV3LZruu6NhElysiWDcKBMkpJYiawD_scazWAkG-BipvTVik2M6rQWGpdURK-TgSEXg_n7LkZrfJE2XqS73VYVPb4eX1-O8btsyNOfKG2DZF4Uf4aT0fAV8MKkAzxLCf4/s320/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-6.png" /></a></div><br />
จากตาราง ทำให้เราทราบถึงตำแหน่งของข้อมูลแต่ละตัว และการกำหนดข้อมูลแต่ละชุดแล้ว การแก้ปัญหาก็สามารถทำได้ง่ายขึ้นเมื่อมีข้อความแสดงความผิดพลาดในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมา<br />
<br />
<b>การแก้ไขปัญหาช่วงตรวจสอบฮาร์ดแวร์</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi38n1ADlEEHYiDtg3Wy97SKhnndeyF-nYKA-1Mb4EOgSmZ5Nl0VICwRfB8ox3SM574WgPm5-rT3Tf2hQuLHFFLafzpHw_iZFpTcBKp-NsAHyGP5EZIYMgG7OUc4TQ3OuF7cyLt1oioaRrf/s1600-h/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-7.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi38n1ADlEEHYiDtg3Wy97SKhnndeyF-nYKA-1Mb4EOgSmZ5Nl0VICwRfB8ox3SM574WgPm5-rT3Tf2hQuLHFFLafzpHw_iZFpTcBKp-NsAHyGP5EZIYMgG7OUc4TQ3OuF7cyLt1oioaRrf/s320/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-7.png" /></a></div><br />
<b>การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการบู้ตระบบ</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjGo4CpsrFelm6P0LozBT1EjRkhY6Zsq_G5X4yBDlCe3OS_AqBZ17m0rixnaHbFtfaMW-bp5UuVTqpvvJNnn_MEI_hSEizyvefHxbzDKA9Okumc_J4i1CHhbEujl8DyMYv_3pcMBTTamnIY/s1600-h/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-8.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjGo4CpsrFelm6P0LozBT1EjRkhY6Zsq_G5X4yBDlCe3OS_AqBZ17m0rixnaHbFtfaMW-bp5UuVTqpvvJNnn_MEI_hSEizyvefHxbzDKA9Okumc_J4i1CHhbEujl8DyMYv_3pcMBTTamnIY/s320/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-8.png" /></a></div><br />
<br />
<b>การแก้ปัญหาที่เกิดจากโปรแกรม</b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsgfkL9hr07JNb9r-MwmtcAqPR9x5GI68jzWFVKHA5bMoon4wDmIlU3VIUO8lpwTkC9oPijFwr9E_3q2n5TFpQ5gYD0MEEJdV7BnauAGZKCHBgc7srU5aFM8oYza7y9ROkhvUN2UtsjG8c/s1600-h/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-9.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsgfkL9hr07JNb9r-MwmtcAqPR9x5GI68jzWFVKHA5bMoon4wDmIlU3VIUO8lpwTkC9oPijFwr9E_3q2n5TFpQ5gYD0MEEJdV7BnauAGZKCHBgc7srU5aFM8oYza7y9ROkhvUN2UtsjG8c/s320/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-9.png" /></a></div>Unknownnoreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-42467539558665570722009-09-17T15:43:00.000-07:002009-09-17T15:43:27.522-07:00การฟอร์แมต ฮาร์ดดิสก์ เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับติดตั้ง Windows ใหม่การ ฟอร์แมต ฮาร์ดดิสก์ จะเป็นขั้นตอนที่ต้องทำต่อจาก <a href="http://thefix-computer.blogspot.com/2009/09/partition-format.html">การจัดการแบ่งพาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์</a> หรืออาจจะใช้เมื่อต้องการ ลบข้อมูลทุก ๆ อย่าง ที่มีอยู่ในฮาร์ดดิสก์ออกทั้งหมด เช่น ทำการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ เพื่อจะทำการลง Windows ใหม่ เป็นต้นหลังจากที่ทำการจัดแบ่งพาร์ติชัน โดยการทำ FDISK เสร็จแล้ว เราจะยังไม่สามารถใช้งาน Hard Disk นั้นได้ในทันที โดยจะต้องทำการ ฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ก่อน ซึ่งก็จะมีวิธีการง่าย ๆ คือใช้คำสั่ง format ที่อยู่ในแผ่น Windows 98 Startup Disk ก่อนอื่นมาดู คำสั่ง ในแบบต่าง ๆ ที่นิยมใช้กันก่อน<br />
<br />
format c: แบบไม่มีอะไรต่อท้าย คือการ format drive c: แบบมาตราฐานทั่วไป <br />
format c: /s คือการ format drive c: โดยจะทำระบบ system file ให้สามารถใช้บูทเครื่องได้ด้วย <br />
format c: /q คือการ format drive c: แบบรวดเร็ว จะใช้ได้กับ Hard Disk ที่ format แล้วเท่านั้น <br />
format c: /c คือการ format drive c: โดยทำการตรวจสอบ bad sector ของฮาร์ดดิสก์ ด้วย <br />
format c: /u คือการ format drive c: โดยแบบนี้ จะไม่สามารถทำการ unformat เพื่อกู้ข้อมูลคืนมาได้ <br />
รูปแบบของคำสั่ง พอจะแบ่งออกได้คร่าว ๆ คือ<br />
<br />
format คือการเรียกคำสั่ง format นี้เพื่อเริ่มต้นใช้งาน <br />
c: หมายถึงชื่อของ drive ที่ต้องการทำการ format โดยที่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจจะมีได้หลาย drive เช่น c: d: e: หรือ f: ก็ได้ แล้วแต่ว่า จะมีการแบ่งพาร์ติชันไว้อย่างไร ตรงนี้ต้องระวัง ใส่ให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้น อาจจะทำให้ข้อมูลต่าง ๆ หายไปหมดได้ <br />
/s หรือ /q หรือ /c หรือ /u เป็นการกำหนดการทำงานของการ format เพิ่มเติมจากปกติ ตามรายละเอียดด้านบน โดยอาจจะใส่หรือไม่ต้องใส่ก็ได้ <br />
ทั้งนี้การใช้คำสั่งฟอร์แมต แบบต่าง ๆ อาจจะใช้ร่วมกันก็ได้เช่น format c: /s/q คือสั่งฟอร์แมตแบบรวดเร็ว และทำการสร้าง system file เพื่อให้สามารถใช้บูทเครื่องได้ด้วย เป็นต้น<br />
<br />
วิธีการสั่งฟอร์แม็ตฮาร์ดดิสค์ เริ่มจากการบูทเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยอาจจะใช้การบูทจากแผ่น Windows Startup Disk แล้วเลือกที่ข้อ 1. จากเมนู หรือจะบูตเครื่องจากฮาร์ดดิสก์ และสั่ง Shutdown โดยเลือกเข้าที่ DOS Mode ก็ได้ จากนั้น พิมพ์คำสั่ง format ตามด้วยค่าพารามิเตอร์ด้านบน และกด ENTER ครับ<br />
<br />
มาดูตัวอย่างและหน้าตาของการทำฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ตามรูปต่อไป โดยรูปตัวอย่างต่อไปนี้ จะเป็นการบูทเครื่องจากแผ่น Windows Startup Disk และเลือกเข้ามาที่ DOS Prompt เข้ามาที่เมนูแรกหรือจะขึ้นเครื่องหมาย A:\> ก่อน จากนั้นพิมพ์คำสั่ง format c: /s (เป็นการสั่งฟอร์แม็ตโดยจะใส่ system file เพื่อให้ใช้บูทเครื่องได้ด้วย)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgw7_MhV-43H6fnmPoow5ACuwFEWWNMQ3ufwT2O7cj_OaeTFTe9u8K7JskPteinGT6A6ufcCj4kwNAhfUtfUjKPUiM-LYfh6lCm73B_sxx39JVK7UR5dPgS20sHgWfV9ENrfvjXgMJaqzh9/s1600-h/format-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgw7_MhV-43H6fnmPoow5ACuwFEWWNMQ3ufwT2O7cj_OaeTFTe9u8K7JskPteinGT6A6ufcCj4kwNAhfUtfUjKPUiM-LYfh6lCm73B_sxx39JVK7UR5dPgS20sHgWfV9ENrfvjXgMJaqzh9/s320/format-1.jpg" /></a></div><br />
จากรูป เป็นการสั่ง format c: /s เพื่อทำการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ โดยกำหนดให้ทำการสร้าง system file ด้วยเพื่อให้ฮาร์ดดิสก์นี้ ใช้ทำการบูทเครื่องได้ หลังจากสั่งฟอร์แมตแล้ว จะมีการถามเพื่อยืนยันการฟอร์แมตอีกครั้ง กด y และกด Enter เพื่อเริ่มต้นการฟอร์แมต รอสักพักอาจจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับขนาดและความเร็วของฮาร์ดดิสก์ รอจนเสร็จจะมีเมนูให้ใส่ชื่อ Volume Label ก็ใส่ชื่อตามต้องการ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-EKbdshENDoD3BVuRDmKs4ys10QPKg8lIl4-vGjtTY_-3KzYaSLYaDPvTvfPGltUo0mHSz-NtUxOBmDMW8oazatr-YHrt1IpyrIpRW9Wgtk0N9WAxmsv66bE1Ux8cQIBZiuv8Y9IOOkDL/s1600-h/format-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-EKbdshENDoD3BVuRDmKs4ys10QPKg8lIl4-vGjtTY_-3KzYaSLYaDPvTvfPGltUo0mHSz-NtUxOBmDMW8oazatr-YHrt1IpyrIpRW9Wgtk0N9WAxmsv66bE1Ux8cQIBZiuv8Y9IOOkDL/s320/format-2.jpg" /></a></div><br />
หลังจากนั้น จะแสดงรายละเอียดต่าง ๆ เท่านี้เป็นอันเสร็จขั้นตอนการฟอร์แมต สามารถนำเอาฮาร์ดดิสก์นี้ไปใช้งานได้ทันที ในกรณีที่ได้ทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นหลาย ๆ ไดร์ฟ ก็ต้องทำการฟอร์แมตทุก ๆ ไดร์ฟ จนครบตามต้องการด้วยUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-54779138722209600722009-09-17T15:32:00.000-07:002009-09-17T15:32:46.629-07:00การแบ่ง Partition และ Format ฮาร์ดดิสก์<b><span style="color: blue;">การแบ่งพาร์ติชั่น (Partition) </span></b><br />
การแบ่งพาร์ติชั่น หมายถึงการแบ่งพื้นที่ของฮาร์ดดิส (HardDisk) ก็เป็นไดร์ฟ (Drive) ต่าง ๆ ตั้งแต่ C ไปได้เรื่อย ๆ ตามจำนวนเนื้อที่ของฮาร์ดดิสก์ที่มีอยู่เพื่อจัดสรรพื้นที่เก็บข้อมูลให้ได้คุ้มค่าและมากที่สุด <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLqwY8pP4_cs2-4J1lja4tOFyw4BLaStcaD-WmSeVtMeUNLN79HHto-Ry8-9UoKiYIYyGchcIDClvoIaYO1e2F3ogHXaOzmoMRGNsdJ-g2iJdtBEkw7djwqMz-d4m1BrrDovqMFrFc5G1S/s1600-h/Partition-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLqwY8pP4_cs2-4J1lja4tOFyw4BLaStcaD-WmSeVtMeUNLN79HHto-Ry8-9UoKiYIYyGchcIDClvoIaYO1e2F3ogHXaOzmoMRGNsdJ-g2iJdtBEkw7djwqMz-d4m1BrrDovqMFrFc5G1S/s200/Partition-1.jpg" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2wC3icbHg6fDvpdx6PVlkt5QTnKmLkYzhDdLuHTt8L3VsqxBHH6OktJVymJfafU3mlFhObRVflGMmqZORckQD_zpmCpb54B8c4SVTx1eSWXrzCVZLd2N7jNJayFzGqdtGQwzaBe2s_KXr/s1600-h/Partition-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2wC3icbHg6fDvpdx6PVlkt5QTnKmLkYzhDdLuHTt8L3VsqxBHH6OktJVymJfafU3mlFhObRVflGMmqZORckQD_zpmCpb54B8c4SVTx1eSWXrzCVZLd2N7jNJayFzGqdtGQwzaBe2s_KXr/s200/Partition-2.jpg" /></a></div><br />
การทำให้ฮาร์ดดิสก์เปลี่ยนสถานะจากของใหม่ๆ ที่เพิ่งผลิตจากโรงงานมาเป็นฮาร์ดดิสก์ที่มีการติดตั้ง DOS หรือ Windows9x จะต้องผ่าน 3 ขั้นตอน คือ การทำ Format ทางกายภาพ (Physical Formatting) การสร้างพาร์ติชั่น (Partitioning) และการ Format ทางลอจิคอล (Logical Formatting) เพื่อทำความเข้าใจว่าแต่ละขั้นตอนทำงานอย่างไร เราลองมาดูสรุปเกี่ยวกับการทำงานของฮาร์ดดิสก์ดังนี้ <br />
<br />
ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) คือ อุปกรณ์กลไกที่ประกอบด้วยแผ่นจาน (โลหะกลมขนาดเล็กใช้สำหรับบรรจุแม่เหล็กบนด้านทั้งสอง) ซ้อนๆกัน มีแกนหมุน และมีหัวอ่าน/เขียน ข้อมูล ทำหน้าอ่านและเขียนข้อมูลจากแผ่นจาน หัวอ่านและเขียนจะเป้นตัวทำให้ประจุแม่เหล็กถูกเก็บลงบนจาน (กลายเป็นบิตต่างๆ) เมื่อคุณสั่งให้โปรแกรมอ่านไฟล์จากดิสก์ แผ่นจานจะหมุนไปรอบๆแกน แล้วหัวอ่านจะเลื่อนกลับไปกลับมาจนกระทั่งเจอบิตที่ต้องการ จากนั้นซอฟต์แวร์ในฮาร์ดดิสก์และตัวควบคุมฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk Controller) จะอ่านข้อมูลในบิตนั้นลงไปใน Ram และเมื่อคุณทำการบันทึกข้อมูล คอมพิวเตอร์จะส่งชุดของบิตไปยังฮาร์ดดิสก์ และบันทึกด้วยหัวเขียนกลายเป็นประจุแม่เหล็กบนฮาร์ดดิสก์ <br />
<br />
กลับมาเรื่องคอมพิวเตอร์กันต่อ ฮาร์ดดิสก์ของคุณจะยังใช้การไม่ได้จนกว่าจะผ่านขั้นตอนการ Format และการทำพาร์ติชั่น ขั้นแรก คือการ Format ทางกายภาพ หรือ Low-Level Format ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะทำมาให้แล้ว (สำหรับไดรว์รุ่นเก่าๆหรือไดรว์แบบ SCSI นั้น จะมียูทิลิตี้ใรการทำ Low-Level Format ส่วน IDE จะไม่มียูทิลิตี้ดังกล่าว) การทำ Low-Level Format เป็นการกำหนดโครงสร้างฮาร์ดดิสก์ให้เป็นแทร็ก (Track) , เซ็กเตอร์ (Sector) , และไซลินเดอร์ (Cylinder) คุณจะคุ้นเคยกับคำเหล่านี้ถ้าคุณเป็นคนชอบติดตั้งฮาร์ดดิสก์ <br />
<br />
แทร็กมีลักษณะเหมือนร่องบนแผ่นเสียง แต่แทร็กแต่ละวงจรจะแยกจากกัน ไม่ได้เป็นวงต่อๆกันเหมือนอย่างบนแผ่นเสียง แทร็กจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆเรียกว่าเซ็กเตอร์ แต่ละเซ็กเตอร์สามารถเก็บข้อมูลได้มากมาย แต่ละแผ่นจานจะมีแทร็กและเซ็กเตอร์เป็นของตัวเอง แต่ละไซลินเดอร์ก็คือ กลุ่มแทร็กที่สัมพันธ์กัน ซึ่งก็คือแทร็กที่มีระยะห่างจากแกนหมุนเท่าๆกันนั่นเอง เราลองมานึกถึงภาพไซลินเดอร์กัน สมมุติว่ามีแพนเค้กวางซ้อนกันอยู่ และมีแก้วน้ำจำนวนหนึ่ง ซึ่งแต่ละแก้วมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เท่ากัน กดแก้วแต่ละใบตรงกลางของกองแพนเค้ก ทำอย่างนี้จนครบทุกแก้ว แพนแค้กจะถูกแบ่งออกเป็นวงๆตลอดทั้งกอง นั่นคือลักษณะของไซลินเดอร์ <br />
<br />
หลังจากทำการ Format ทางกายภาพแล้ว ฮาร์ดดิสก์จะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ เรียกว่า "พาร์ติชั่น" แต่ละพาร์ติชั่นคือการแบ่งกลุ่มไซลินเดอร์ที่อยู่ติดๆกัน และในระบบปฏิบัติการบางตัว เช่น Linux คุณสามารถระบุได้ว่าจะให้ไซลินเดอร์ไหนอยู่พาร์ติชั่นใด จุดประสงค์ของการทำพาร์ตอชันก็เพื่อช่วยแบ่งส่วนฮาร์ดดิสก์ และทำให้สามารถ run ระบบปฏิบัติการได้หลายๆระบบบนเครื่องเดียว ซึ่งแต่ละระบบปฏิบัติการจะสามารถทำงานได้ดีที่สุดกับระบบไฟล์ของตน แต่ละพาร์ติชั่นจะมีระบบไฟลืได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และในระบบไฟล์ก็จำเป็นต้องมีหลายพาร์ติชั่นเพื่อลดการสูญเปล่าของเนื้อที่ ซึ่งเราจะได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในลำดับต่อไป <br />
<br />
แม้ว่าเราจะทำการแบ่งพาร์ติชั่นแล้ว แต่ละฮาร์ดดิสก์ของคุณก็จะยังไม่สามารถใช้งานได้ และจะทำให้แต่ละพาร์ติชั่นสามารถเก็บข้อมูลได้ คุณจะต้องทำการ Format ทางลอจิคอลเสียก่อน ขณะที่การ Format ทางกายภาพ คือการกำหนดโครงสร้างให้กับฮาร์ดดิสก์ของคุณ การ Format ทางลอจิคอลจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบปฏิบัติการ โดยระบบปฏิบัติการจะกำหนดโครงสร้างทางลอจิคอล หรือระบบไฟล์ให้แก่ดิสก์ เมื่อคุณใช้คำสั่ง Format บน DOS หรือเลือกเมนู Format ใน Windows Explorer นั่นหมายถึงคุณกำลังเริ่มต้นทำการ Format ทางลอจิคอลให้กับแผ่นดิกส์หรือฮาร์ดดิสก์ของคุณ <br />
การ Format ทางลอจิคอล ก็คือ การใส่ระบบไฟล์ลงบนดิสก์ ระบบปฏิบัติการจะเป็นตัวกำหนดว่าระบบไฟล์แบบไหนที่จะใส่ลงบนดิสก์ของคุณ คุณไม่สามารถเลือกเองได้ ระบบไฟล์โดยทั่วๆไปสำหรับเครื่องที่ใช้ x86 ได้แก่ <br />
- FAT (File Allocation Table) เป็นระบบไฟล์มาตราฐานสำหรับ DOS และ Windows และด้วยการที่ FAT เป็นที่นิยมใช้อย่างกว้างขวาง จึงสามารถใช้ร่วมกับระบบปฏิบัติการอื่น เช่น Linux , OS/2 และระบบปฏิบัติการอื่นๆอีกด้วย <br />
<br />
<ul><li>- VFAT (Virtual File Allocation Table) เป็นระบบไฟล์ FAT เวอร์ชันที่มีลักษณะเป็น Protected Mode ซึ่งจะถูกใช้โดย Windows 9x ระบบไฟล์นี้จะคล้ายๆกับ FAT ต่างกันตรงที่สามารรับชื่อไฟล์ยาวๆได้</li>
<li>- NTFS (NT Files System) เป็นระบบไฟล์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับ WIndows NT โดยเฉพาะ แม้ว่าคุณจะสามารถติดตั้ง Windows NT ในระบบไฟล์ FAT ได้ แต่ว่า NTFS จะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าในด้านระบบความปลอดภัยในการเข้าถึงไฟล์มากกว่า และเสียเนื้อที่น้อยกว่า</li>
<li>- HPFS (High Performance File System) เป็นระบบไฟล์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับ OS/2 ซึ่ง HPFS ก็เหมือนกับ NTFS ที่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี , มีความเชื่อถือได้ของข้อมูล มีประสิทธิภาพและความเร็วสูงกว่า FAT</li>
<li>- FAT32 (32-bit File Allocation System) ระบบไฟล์แบบนี้จะอยู่ใน Windows95 OSR2 ในเวอร์ชันที่มีการติดตั้งจากผู้ผลิต และ WIndows98 , FAT32 จัดข้อจำกัดของ FAT หลายประการออกไป แต่ระบบไฟล์นี้จะไม่สามารถใช้กับระบบปฏิบัติการอื่นนอกจาก Windows95 OSR2 , Windows98</li>
</ul><br />
หลังจากทำการ Format ทางลอจิคอลแล้วพาร์ตอชันจะถูกเรียกว่า Volume และจะดีมากหากคุณทำการตั้งชื่อให้กับพาร์ติชั่นซึ่งสามารถทำได้โดยผ่านทางคำสั่ง LABEL บน DOS หรือใช้ Windows Explorer การตั้งชื่อจะทำให้จำได้ง่ายขึ้นเวลาคุณใช้ซอฟท์แวร์ อย่างเช่น FDISK ซึ่งจะลดความผิดพลาดในการลบไฟล์ผิดพาร์ติชัน <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">จุดประสงค์ในการแบ่งพาร์ติชั่น </span></b><br />
1. เพื่อทำให้ฮาร์ดดิสก์สามารถ Boot ด้วยตัวเองได้ เรียกว่า การ Set Active Partition <br />
2. เพิ่มจำนวนไดร์ฟให้มากขึ้น เพื่อต้องการเก็บข้อมูลที่สำคัญไว้เป็นสัดส่วน <br />
3. ลดขนาดของฮาร์ดดิสก์ให้เล็กลง เพื่อนำฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดใหญ่ไปใช้กับเครื่องรุ่นเก่าได้ <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ความหมายของแฟต (FAT) </span></b><br />
Cluster หรือ Sector ของฮาร์ดดิสก์ที่ใช้บันทึกข้อมูลแบ่งได้เป็น2ขนาดคือ <br />
1.ขนาด FAT 16 (File Allocation Table) มีความเร็วในการทำงาน 16 bit จะเป็นการแบ่งฮาร์ดดิสก์ขนาดความจุตั้งแต่ 16 เม็กกะไบต์จนถึง 2.1 กิกะไบต์ และต้องใช้ DOS 6.22 , WIN 95 ในการแบ่งพาร์ติชั่น <br />
2.ขนาด FAT 32 (File Allocation Table) มีความเร็วในการทำงาน 32 bit จะเป็นการแบ่งฮาร์ดดิสก์ขนาดความจุตั้งแต่ 512 เม็กกะไบต์ขึ้นไปและต้องใช้ WIN 95 OSR 2 , WIN 98 ในการแบ่งพาร์ติชั่น <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ตารางเปรียบเทียบขนาดพาร์ติชั่น </span></b><br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTAu8BbDC911W_GvoL_1h1LCAGWLpAuAaV6Yv-vlHtqTk9pTXWmEZj0BvxJkT6-i4pS1zS95kRbygYE1crdI1ZuRtY1z9R9dR_eXYHAfcm2glWAwKXsQjxugMeBPFBhMupbTE2KwvXQdi8/s1600-h/Partition-3.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTAu8BbDC911W_GvoL_1h1LCAGWLpAuAaV6Yv-vlHtqTk9pTXWmEZj0BvxJkT6-i4pS1zS95kRbygYE1crdI1ZuRtY1z9R9dR_eXYHAfcm2glWAwKXsQjxugMeBPFBhMupbTE2KwvXQdi8/s320/Partition-3.png" /></a></div><br />
<b><span style="color: blue;">ส่วนของพาร์ติชั่นที่จะต้องสร้าง </span></b><br />
1. Primary Partition <br />
2. Extend Partition <br />
3. Logical Partition <br />
<br />
Primary Partition คือไดร์ฟแรกที่สร้างขึ้นมาสำหรับ Boot เครื่องและทำงานหลัก <br />
Extend Partition คือส่วนขยาย หมายถึงเมื่อสร้าง Primary แล้ว ก็ให้สร้าง Extend เป็นพื้นที่เตรียมแบ่งเป็นไดร์ฟย่อย <br />
Logical Partition คือส่วนที่แบ่งจาก Extend สามารถแบ่งได้ D - Z แล้วแต่ความต้องการ <br />
<br />
<b>ตัวอย่างเช่น </b><br />
100% = 100 MB <br />
20% เป็น Primary <br />
80% เป็น Extend <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjAzqFQWWhZ-YscsxMq4tqO8SWyTPu0sCDNjO4I2LN97OADf7gddQ9luDUryOm-WZ-3PMj0nIU5o0iABxTfHnaE3Mhopgf24-oUVkdXR_4iCOn8OeJGNUA6iNgUfyrfWA2Xp6IjuktN4EkU/s1600-h/Partition-4.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjAzqFQWWhZ-YscsxMq4tqO8SWyTPu0sCDNjO4I2LN97OADf7gddQ9luDUryOm-WZ-3PMj0nIU5o0iABxTfHnaE3Mhopgf24-oUVkdXR_4iCOn8OeJGNUA6iNgUfyrfWA2Xp6IjuktN4EkU/s320/Partition-4.png" /></a></div><br />
หลังจากนั้นจึงเอา 80% มาแบ่งเป็น Logical โดยแบ่งได้ตั้งแต่ไดร์ฟละ1 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปแต่ถ้าจะสร้างเพียง 2 ไดร์ฟคือไดร์ฟ C และไดร์ฟ D ส่วนที่เป็น Extend ทั้งหมด ก็จะถูกเลือกเป็น Logical คือไดร์ฟ D อนึ่งถ้าจะสร้างเพียงไดร์ฟเดียวคือไดร์ฟ C ก็ไม่ต้องแบ่งอะไรทั้งสิ้น ส่วนที่เป็น Extend และ Logical ก็ไม่ต้องสร้างเพียงเลือกการสร้างเป็น Primary ทั้งหมดในการสร้างครั้งแรก แล้วก็ Set Active พาร์ติชั่นเท่านั้น ก็ออกไป Format แล้วลงโปรแกรมได้เลย <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">รูปแบบการแบ่ง </span></b><br />
หลังจากที่ใช้คำสั่ง FDISKแล้ว จะมีรายการให้เลือก 4 รายการคือ <br />
1. Create Partition การสร้าง Partition <br />
2. Active Partition ทำให้ฮาร์ดดิสก์ Boot ด้วยตัวเองได้) <br />
3. Delete Partition การลบ Partition <br />
4. Display Partition การตรวจสอบจำนวนไดร์ฟที่สร้างแล้ว <br />
<b>หมายเหตุ </b><br />
ในการต่อฮาร์ดดิสก์มากกว่า 2 ตัวขึ้นไปเมื่อใช้คำสั่ง FDISK จะมีรายการที่ 5 เพิ่มมาอีก โดยรายการที่ 5 นี้ให้ทำการเลือกการแบ่งว่าจะแบ่งพาร์ติชั่นของฮาร์ดดิสก์ตัวไหน <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPENfK90ahRaDhU23Qj0pUoTepe4SKSSrviUARZazhUhpjNXnluRAxLeJpKNhp6SlK41p9AB3OknE0Npnk_owtdeMEdydWFdFaN1iPoeqegU9S7P6GHATERh0ydCNaEeDvTxRPolO7ONv7/s1600-h/Partition-5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhPENfK90ahRaDhU23Qj0pUoTepe4SKSSrviUARZazhUhpjNXnluRAxLeJpKNhp6SlK41p9AB3OknE0Npnk_owtdeMEdydWFdFaN1iPoeqegU9S7P6GHATERh0ydCNaEeDvTxRPolO7ONv7/s320/Partition-5.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE1AUyi1_6RyTy6uNofR_IHSh0P0rrQ69xo4qOKFuee3TZd9YW-fMg-Fzpum794pZOju_EF8G5Fk61V1hQjmqspg6nOX2LdcUY4NMRTyz9ZUS_iahs8Gbo00Jrzlg-KipVQLroTQCkyYpa/s1600-h/Partition-6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE1AUyi1_6RyTy6uNofR_IHSh0P0rrQ69xo4qOKFuee3TZd9YW-fMg-Fzpum794pZOju_EF8G5Fk61V1hQjmqspg6nOX2LdcUY4NMRTyz9ZUS_iahs8Gbo00Jrzlg-KipVQLroTQCkyYpa/s320/Partition-6.jpg" /></a></div><br />
<br />
<b><span style="color: blue;">โปรแกรมที่ใช้แบ่งพาร์ติชั่น </span></b><br />
1. โปรแกรม FDISK ซึ่งอยู่ในแผ่นที่ 1 ของ DOS 6.22 , แผ่นSTARTUP 95 และ STARTUP 98 <br />
2. โปรแกรม Partition Magic ที่ติดตั้งบนวินโดวส์ใช้แบ่งบนวินโดวส์และยังสามารถทำใส่ แผ่น Diskette นำมาใช้บน DOS ได้ด้วย และที่พิเศษคือแบ่งแล้วข้อมูลไม่เสียหาย <br />
3. โปรแกรม MAXTOR ซึ่งติดมากับฮาร์ดดิสก์ยี่ห้อ MAXTOR ก็สามารถแบ่งพาร์ติชั่นได้ แต่ MAXTOR จะใช้ได้กับฮาร์ดดิสก์บางยี่ห้อบางขนาดเท่านั้น <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ขั้นตอนการสร้างพาร์ติชั่น </span></b><br />
1. ให้ใส่แผ่นดอสในไดร์ฟ A แล้ว Boot เครื่องจะพบเครื่องหมายA:\> <br />
2. ให้พิมพ์คำสั่ง FDISK แล้วกด Enter <br />
<br />
<b>ตัวอย่าง A:\>FDISK </b><br />
จะพบหน้าต่างซึ่งเป็นรายการหลักของโปรแกรม FDISK ดังนี้ <br />
1. Create Primary Partition การสร้างไดร์ฟที่จะใช้เป็นงานหลักในการ Boot เครื่อง <br />
2. Set Active Partition การกำหนดให้ไดร์ฟที่สร้างพาร์ติชั่นแล้วสามารถ Boot ได้ <br />
3. Delete Partition การลบพาร์ติชั่นที่ไม่ต้องการ <br />
4. Display Partition การตรวจสอบพาร์ติชั่นที่สร้างแล้วว่าถูกต้องหรือไม่ <br />
<br />
ให้เลือกหัวข้อการสร้างคือหมายเลข 1 แล้วกด Enter หลังจากนั้นจะพบรายการย่อยของหัวข้อที่ 1 อีกข้อดังนี้ <br />
1. Create Primary Partition การสร้างไดร์ฟ C เพื่อทำงานหลัก <br />
2. Create Extend Partition การกำหนดเนื้อที่ของดิสก์ที่เหลือจากการสร้างไดร์ฟ C แล้ว <br />
3. Create Logical Partition การนำส่วนที่เหลือดังกล่าวมาแบ่งเป็นไดร์ฟย่อย <br />
<br />
<br />
ให้เลือกข้อที่ 1 คือการสร้าง Primary ก่อน แล้วกด Enter <br />
หลังจากนั้นเครื่องจะถามว่า จะเลือกทั้งหมดฮาร์ดดิสก์เป็นพาร์ติชั่นเดียวหรือไม่ (Y/N) ถ้ากด Y ก็หมายถึงจะเอาตามนั้นแล้วเครื่องจะจัดการสร้างให้ แต่ถ้ากด N หมายถึง เราจะแบ่งเอง ในที่นี้ก็ให้กด N แล้วกด Enter เพราะเราจะแบ่งเอง <br />
<br />
<b>ข้อสังเกต </b><br />
ถ้าใช้แผ่นSTARTUP 98 Boot เครื่อง แล้วพิมพ์คำสั่ง FDISK จะปรากฏ Y 2 ครั้งคือ <br />
Y ครั้งแรก จะเป็นการถามว่าจะใช้เนื้อฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่สุดหรือไม่ ให้กด Y แล้วกด Enter <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0e-UyO6ODHq9FNwr-h-T9hkix8P5n5KstP6f56hFrwDa_3swMzg53V21r2AvsA3JI2HvoXpZpXfSPTmj6yTNMYvEfPSIlYJcIkha9pWsLHKc5vi7E6rO-4cH6fZvwzqErNZFL50zqi_a1/s1600-h/Partition-7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0e-UyO6ODHq9FNwr-h-T9hkix8P5n5KstP6f56hFrwDa_3swMzg53V21r2AvsA3JI2HvoXpZpXfSPTmj6yTNMYvEfPSIlYJcIkha9pWsLHKc5vi7E6rO-4cH6fZvwzqErNZFL50zqi_a1/s320/Partition-7.jpg" /></a></div><br />
Y ครั้งที่ 2 จะถามว่าจะใช้เนื้อที่ทั้งหมดเป็นไดร์ฟ C หรือไม่ ให้กด N แล้วกด Enter <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE4Pq55CJY4cqm17l57SiBeDDnRXZkgiedI8wMOVcsZCzHmRS2iyoRX0mzJWYSeeGjMYWOjagq5o7YEy7uPuhdQYjrKpfyj6CS7fxz9fzesZslyWkoUjOIfpIwg-UxqjM8vvfBXntmm-uE/s1600-h/Partition-8.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE4Pq55CJY4cqm17l57SiBeDDnRXZkgiedI8wMOVcsZCzHmRS2iyoRX0mzJWYSeeGjMYWOjagq5o7YEy7uPuhdQYjrKpfyj6CS7fxz9fzesZslyWkoUjOIfpIwg-UxqjM8vvfBXntmm-uE/s320/Partition-8.jpg" /></a></div><br />
หลังจากนั้นจะปรากฏหมายเลขบอกจำนวนเนื้อที่ของฮาร์ดดิสก์และเปอร์เซ็นต์ 100% ถ้าประสงค์ทำเป็นไดร์ฟ C เพียงไดร์ฟเดียวก็กด Enter ไปเลย แล้วกลับไปรายการหลัก Set Active Partition ออกจากโปรแกรม FDISK Format ฮาร์ดดิสก์ก็ลงโปรแกรมได้เลย <br />
<br />
แต่ในกรณีที่จะแบ่งเป็นไดร์ฟอื่นอีกก็ให้พิมพ์ระบุตัวเลขที่จะทำเป็นไดร์ฟ C ในช่องเลขบอกจำนวนจะพิมพ์เป็นเปอร์เซ็นต์หรือจะพิมพ์เป็นจำนวนเม็กกะไบต์ก็ได้ถ้าเป็นจำนวนเม็กกะไบต์ก็ไม่ต้องพิมพ์ % ในที่นี้สมมติว่าฮาร์ดดิสก์ 520 MB จะเป็นไดร์ฟ C เพียง 50 เปอร์เซ็นต์ ให้พิมพ์ 50% ในช่องจำนวนเลขของฮาร์ดดิสก์ดังนี้ (520) (50%) โดยพิมพ์ทับเลข 520 เลยแล้วกด Enter หลังจากนั้นจะได้ไดร์ฟ C มา ให้กดปุ่ม ESC เพื่อกลับไปรายการหลัก <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgA5x519_mB3NWrEieUbi6hLj2_Bolh629Wig0zeOFvKV5le5zXLULUzYEohcmDPVH4RI-B7F0oASEP1bFPKqKYKLIgvmwC3gbVrgbDqrD6IfJ5bbW68fjDAaAoLqxfFCFWP1A2L1eJa9E7/s1600-h/Partition-9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgA5x519_mB3NWrEieUbi6hLj2_Bolh629Wig0zeOFvKV5le5zXLULUzYEohcmDPVH4RI-B7F0oASEP1bFPKqKYKLIgvmwC3gbVrgbDqrD6IfJ5bbW68fjDAaAoLqxfFCFWP1A2L1eJa9E7/s320/Partition-9.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAxUcpZF0agixhoDANecGgaXcqWgAAzQ59UmePyQdm9PLkuDugD5q53TJvefZqXiJV_37-Az_tVL3G60EZVN7xdKcli2pmwWoBrlm3baXYGxskgiQhNIKZwAh_w7hFWSitgZNTQ-w9qces/s1600-h/Partition-10.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAxUcpZF0agixhoDANecGgaXcqWgAAzQ59UmePyQdm9PLkuDugD5q53TJvefZqXiJV_37-Az_tVL3G60EZVN7xdKcli2pmwWoBrlm3baXYGxskgiQhNIKZwAh_w7hFWSitgZNTQ-w9qces/s320/Partition-10.jpg" /></a></div><br />
<br />
1. Create Primary Partition <br />
2. Set Active Partition <br />
3. Delete Partition <br />
4. Display Partition <br />
<br />
ต่อไปให้กดเลข 1 แล้วกด Enter เพื่อเลือกรายการสร้างอีกครั้งแล้วจะปรากฏรายการย่อยของหัวข้อการสร้างดังนี้ <br />
1. Create Primary Partition <br />
2. Create Extend Partition <br />
3. Create Logical Partition <br />
<br />
ให้กดเลข 2 แล้ว Enter เพื่อเลือกรายการสร้าง Extend หลังจากนั้นจะปรากฏจำนวนของ Extend ทั้งหมด 50% คือ ส่วนที่เหลือจากการสร้าง Primary นั้นเอง ให้เลือกทั้งหมด โดยปุ่ม Enter เลย ก็เสร็จการสร้าง Extend <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4FQ3udDu10bLflYysS7a5GrWQo6TAR1CflYqlVBlOUKmSzS1RigBBcd3GmjxkmNn1LtUXnqURBApimjejUcoe6b9Dl-jSSAozF4G6eVVu0udzI25ozksV_0WWAk-IcnFKyx2qlm8NjScU/s1600-h/Partition-11.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4FQ3udDu10bLflYysS7a5GrWQo6TAR1CflYqlVBlOUKmSzS1RigBBcd3GmjxkmNn1LtUXnqURBApimjejUcoe6b9Dl-jSSAozF4G6eVVu0udzI25ozksV_0WWAk-IcnFKyx2qlm8NjScU/s320/Partition-11.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9ivJG0UuYaIEtRAKaDFFG44IkjklqaoqemK_g00Yuk6NvgQZFJIjfJ_LiTTMylkpBi_H1vEPY6Szg-p8wUcm43kugYp30xmDwNfpstGG6m6DnsFxBcJYBAPaurIoadAcIm-lzZCLCh-3T/s1600-h/Partition-12.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9ivJG0UuYaIEtRAKaDFFG44IkjklqaoqemK_g00Yuk6NvgQZFJIjfJ_LiTTMylkpBi_H1vEPY6Szg-p8wUcm43kugYp30xmDwNfpstGG6m6DnsFxBcJYBAPaurIoadAcIm-lzZCLCh-3T/s320/Partition-12.jpg" /></a></div><br />
ต่อไปเตรียมการสร้าง Logical โดยกดปุ่ม ESC 1 ครั้งหลังจากนั้นจะปรากฏข้อความว่า No Logical Drive Partition หมายถึงว่าขณะนี้ยังไม่มีไดร์ฟอื่นนอกจาก C จะสร้างไดร์ฟอื่นอีกหรือไม่ ถ้าจะทำทั้งหมดเป็นไดร์ฟ D ก็กด Enter ไปเลย ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็จะเป็นไดร์ฟ D แต่ในที่นี้ให้ฝึกแบ่งหลาย ๆ ไดร์ฟให้พิมพ์จำนวนเลขที่จะสร้างเป็น Logical คือ D , E , F , G แล้วแต่ความต้องการ โดยจะพิมพ์เป็นจำนวนเมกกะไบต์ หรือ % ก็ได้ที่เหลือสุดท้ายถ้าจะพอแล้วก็ให้กด Enter เลยเพียงเท่านี้เราก็จะได้ไดร์ฟมาเป็นจำนวนที่เราต้องการ <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIl4O2BVn1iecjqPDtcdHjXFhS19GCWpoppowGD47AGKLAWzu9HK3ZXoaMZU7MdPeEKyNQFgAd6B9FJmxYkJVv_R3k49fBtSWbpgBVmdP3u9hgD7UOfShnLxh0H4ttTehImct48kIrp50a/s1600-h/Partition-13.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIl4O2BVn1iecjqPDtcdHjXFhS19GCWpoppowGD47AGKLAWzu9HK3ZXoaMZU7MdPeEKyNQFgAd6B9FJmxYkJVv_R3k49fBtSWbpgBVmdP3u9hgD7UOfShnLxh0H4ttTehImct48kIrp50a/s320/Partition-13.jpg" /></a></div><br />
เมื่อเสร็จสิ้นการแบ่งไดร์ฟย่อยแล้ว ให้กดปุ่ม ESC 2 ครั้ง เพื่อกลับไปรายการหลักดังนี้ <br />
1. Create Primary Partition <br />
2. Set Active Partition <br />
3. Delete Partition <br />
4. Display Partition <br />
<br />
ต่อไปให้ทำการเซ็ต Active Partition เพื่อกำหนดให้ไดร์ฟที่จะทำงานเป็นหลักโดยเลือกหัวข้อที่ 2 แล้วกด Enter หลังจากนั้นเครื่องจะถามว่าจะเอาไดร์ฟใดเป็นไดร์ฟทำงานหลัก ให้พิมพ์เลข 1 ในวงเล็บ (1) แล้วกด Enter หมายถึงไดร์ฟ C นั้นเอง หลังจากนั้นจะมีอักษร A ปรากฏใต้คำว่า STATUS หมายถึงการระบุให้ไดร์ฟทำงานเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้กดปุ่ม ECS 3 ครั้งออกจากโปรแกรม FDISK ไป Format ลงในโปรแกรมได้เลย <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ขั้นตอนการลบ Partition </span></b><br />
ถ้ามีข้อมูลสำคัญให้ Copy ข้อมูลไว้ก่อน เพราะการลบพาร์ติชั่นข้อมูลจะถูกลบทั้งหมดหลังจากนั้นจึงทำการลบตามขั้นตอนนี้ <br />
1. Create Primary Partition <br />
2. Set Active Partition <br />
3. Delete Partition <br />
4. Display Partition <br />
<br />
เมื่ออยู่ที่รายการหลักให้เลือกหัวข้อที่ 3 แล้วกด Enter หลังจากนั้นจะปรากฏหัวข้อย่อยของข้อที่ 3 ดังนี้อีก 4 ข้อดังนี้ <br />
1. Delete Primary <br />
2. Delete Extend <br />
3. Delete Logical <br />
4. Delete Non DOS <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6fSt2oKq32KLQC5YYXhMwb4LKuDK3jSx36HdEEuFs23tnTOZYgCX-vqBp4_NAVn1EsLKeslaCjJSA3Z3FLYUHogcG9Bf5rIwoOCTCdmvzWOVeEaLPAUTEAp32-SwT2y3vCFeoeJIFRST-/s1600-h/Partition-14.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6fSt2oKq32KLQC5YYXhMwb4LKuDK3jSx36HdEEuFs23tnTOZYgCX-vqBp4_NAVn1EsLKeslaCjJSA3Z3FLYUHogcG9Bf5rIwoOCTCdmvzWOVeEaLPAUTEAp32-SwT2y3vCFeoeJIFRST-/s320/Partition-14.jpg" /></a></div><br />
ให้เลือกเลข 3 แล้วกด Enter คือลบ Logical ก่อนหลังจากนั้นจะปรากฏวงเล็บพร้อมทั้งแสง Cursor กระพริบอยู่ให้พิมพ์ชื่อไดร์ฟที่จะลบในช่องวงเล็บเช่น (D) แล้ว Enter เครื่องจะถามว่ามีชื่อไดร์ฟหรือไม่ถ้ามีให้พิมพ์ชื่อไดร์ฟถ้าไม่มีให้กด Enter เลย แล้วกด Y กด Enter ลบไปเรื่อย ๆ จนหมดทุกไดร์ฟ <br />
หลังจากนั้นกด ESC กลับมาที่รายการหลักอีกครั้งดังนี้ <br />
1. Create Primary Partition <br />
2. Set Active Partition <br />
3. Delete Partition <br />
4. Display Partition <br />
<br />
ให้เลือกหัวข้อที่ 3 แล้วกด Enter หลังจากนั้นจะปรากฏหัวข้อย่อยของข้อที่ 3 ดังนี้อีก 4 ข้ออีกครั้ง <br />
1. Delete Primary <br />
2. Delete Extend <br />
3. Delete Logical <br />
4. Delete Non DOS <br />
<br />
ให้เลือกเลข 2 แล้วกด Enter คือลบ Extend หลังจากนั้นจะปรากฏวงเล็บพร้อมทั้งแสง Cursor กระพริบอยู่ ให้กด Y แล้ว Enter <br />
หลังจากนั้นกด ESC กลับมาที่รายการหลักอีกครั้งดังนี้ <br />
1. Create Primary Partition <br />
2. Set Active Partition <br />
3. Delete Partition <br />
4. Display Partition<br />
<br />
ให้เลือกหัวข้อที่ 3 แล้วกด Enter หลังจากนั้นจะปรากฏหัวข้อย่อยของข้อที่ 3 ดังนี้อีก 4 ข้ออีกครั้ง <br />
1. Delete Primary <br />
2. Delete Extend <br />
3. Delete Logical <br />
4. Delete Non DOS <br />
ให้เลือกเลข 1 แล้วกด Enter คือลบ Primary หลังจากนั้นจะปรากฏวงเล็บพร้อมทั้งแสง Cursor กระพริบอยู่ ให้กด Y แล้ว Enter <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUyHALQyytEDLhTYV83qOutt0H-SX5xioWUBe7ah__Az0Zcuw1QxFr8XK0q1ssm-gVaiKhJgQ6XtE2Uc0NHCtPBRgwY4u8blhIJ76kGLGgAfia_0B-f7Y3QIV6WU5fQkH_oQNjBCgynMGn/s1600-h/Partition-15.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUyHALQyytEDLhTYV83qOutt0H-SX5xioWUBe7ah__Az0Zcuw1QxFr8XK0q1ssm-gVaiKhJgQ6XtE2Uc0NHCtPBRgwY4u8blhIJ76kGLGgAfia_0B-f7Y3QIV6WU5fQkH_oQNjBCgynMGn/s320/Partition-15.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrTJzYA7SwSUdUKE1mLrqio8_l1dmfMNsATd2GoA-FezeC26gZ9Glh3jIIb7F6sMC64QaosHBYS3qxpdorK9n_4507wDYp5qKNFc-S8iXZg6JXxUkjonPmvrslkevKddqRSEGQPKqhFORB/s1600-h/Partition-16.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrTJzYA7SwSUdUKE1mLrqio8_l1dmfMNsATd2GoA-FezeC26gZ9Glh3jIIb7F6sMC64QaosHBYS3qxpdorK9n_4507wDYp5qKNFc-S8iXZg6JXxUkjonPmvrslkevKddqRSEGQPKqhFORB/s320/Partition-16.jpg" /></a></div><br />
<b><span style="color: blue;">ลำดับการลบ </span></b><br />
1. ให้ทำการลบ Logical ให้หมดก่อน โดยลบทีละไดร์ฟ <br />
2. ให้ลบ Extend <br />
3. ให้ลบ Primaryเป็นลำดับสุดท้าย <br />
<b>หมายเหตุ </b><br />
ข้อที่ 4 มีไว้สำหรับลบไดร์ฟที่เครื่องไม่รู้จักคือ NON DOS ถ้าฮาร์ดดิสก์เป็น NON DOS จะไม่สามารถทำอะไรกับฮาร์ดดิสก์ได้เลย จะแบ่งพาร์ติชั่น จะ Format จะลบพาร์ติชั่นจะทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น จะต้องลบ NON DOS ออกก่อนจึงทำอย่างอื่นต่อไปได้และการที่จะรู้ฮาร์ดดิสก์เป็น NON DOS เมื่อเข้ารายการหลักของ FDISK ให้กดเลข 4 แล้วกด Enter ให้สังเกตใต้คำว่า TYPE จะมีคำว่า NON DOS ปรากฏอยู่ <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">การใช้แผ่นสร้าง Partition </span></b><br />
ถ้าใช้แผ่น DOS 6.22 สร้าง จะเป็น FAT16 <br />
ถ้าใช้แผ่น STARTUP 95 สร้าง จะเป็น FAT16 <br />
ถ้าใช้แผ่น STARTUP 98 สร้าง จะเป็น FAT32 <br />
<b>หมายเหตุ </b><br />
ถ้าใช้โปรแกรม Partition Magic ในการแบ่ง จะสามารถเลือกได้ว่าจะเก็บข้อมูลเดิมไว้ หรือไม่เก็บและสามารถเลือก FAT ได้ว่า จะใช้ FAT16 หรือ FAT32 สามารถใช้ Mouseได้ในขณะแบ่งและจะไม่มีปัญหากับฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่แต่โปรแกรมนอกจากนี้เมื่อแบ่งแล้วข้อมูลจะสูญหายหมดและมักจะติดปัญหากับฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่เช่นเห็นจำนวนฮาร์ดดิสก์ไม่ครบบ้าง เป็นต้น<br />
<b>ข้อควรระวัง </b><br />
การแบ่งพาร์ติชั่นเกิน 6 ครั้งและ Format ทุกครั้ง ฮาร์ดดิสก์อาจจะเสียหายเพราะจะ เป็นรอยที่เคยแบ่ง แต่ถ้าแบ่งแล้วไม่ Format การเสี่ยงก็น้อยแต่ไม่จำเป็นไม่ควรแบ่งพาร์ติชั่นบ่อยแบ่งเพียงครั้งแรกที่ประกอบเครื่องเสร็จและลงโปรแกรมก็พอหลังจากนั้นถ้าเครื่องมีปัญหาจะลงโปรแกรมใหม่เพียง Format ฮาร์ดดิสก์อย่างเดียวก็พอ <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">การ Format ฮาร์ดดิสก์ </span></b><br />
หลังการทำ Partition HDD แล้ว จะต้องทำการ Format ฮาร์ดดิสก์ ก่อนที่จะติดตั้ง OS เช่น Windows <br />
โดยในการ Format ฮาร์ดดิสก์ สามารถกำหนดการใช้งานระบบ FAT ได้ 2 รูปแบบคือ <br />
1. ระบบ FAT 16 แนะนำให้ใช้แผ่นบูต DOS 6.22 เหมาะสำหรับการลงโปรแกรม Windows 3.11 , 95 , 98 หรือ Windows NT <br />
2. ระบบ FAT 32 แนะนำให้ใช้แผ่น Startup Windows 98 เหมาะสำหรับการลงโปรแกรม Windows 98, Windows 2000 , Windows ME <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2rrEKl74h3vihkSddpedGGi4gQDIX0dLbnDppGZVZJZX8qbSWEo6o4hMjL_pBWnuo1Ot46hb7lrCyDdCKC2nZ_Ur3ZuDZakIS5kmCKp_8B_aHMt8miXv0k8IT4BiPEOrSf6JoPP9y1KSa/s1600-h/Partition-17.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2rrEKl74h3vihkSddpedGGi4gQDIX0dLbnDppGZVZJZX8qbSWEo6o4hMjL_pBWnuo1Ot46hb7lrCyDdCKC2nZ_Ur3ZuDZakIS5kmCKp_8B_aHMt8miXv0k8IT4BiPEOrSf6JoPP9y1KSa/s320/Partition-17.jpg" /></a></div><br />
3. การ Format ฮาร์ดดิสก์ ให้พาร์ทิชั่นแรกสามารถบูตเครื่องได้ให้ใช้คำสั่ง <br />
<b><span style="color: blue;">C:\>format C:/s/c/u </span></b><br />
คำสั่ง /s หมายถึง ให้ติดตั้ง Sysytem Files เพื่อบูตเครื่องได้ <br />
คำสั่ง /c หมายถึง การตรวจสอบฮาร์ดดิสก์แบบ Complete เพื่อหาตำแหน่งเนื้อที่ที่เสียหาย (Bad Sector) <br />
คำสั่ง /u หมายถึง ไม่ต้องการกู้สิ่งใดกลับคืนหลังการ Format แล้ว <br />
การ Format ฮาร์ดดิสก์จะมีการถามยืนยันว่า คุณกำลัง Format ฮาร์ดดิสก์ ข้อมูลจะสูญหาย จะทำต่อหรือไม่ ตอบ Y เพื่อทำการ Format <br />
4. หลังจาก Format เสร็จสิ้นแล้วให้ใส่ Volume Label (ชื่อฮาร์ดดิสก์ใส่ได้ 11 ตัวอักษร) ถ้าไม่ต้องการให้ Enter ผ่านไป หลังจากนั้นสามารถติดตั้ง Windos และ โปรแกรมใช้งาน ตามต้องการต่อไป<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3th8H4-NWlwwjODQDezLMCCeVXniVAujYhkpqv5_0TYiy9PfwQVnf-F3Q2fb2RHGB1HHZBnZp4diuE7cYohjnmbUUxOKiWXl0I8xJkmpFeYxkE_xaKZsGt_27soPaX81DXacUBfNYZKX8/s1600-h/Partition-18.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3th8H4-NWlwwjODQDezLMCCeVXniVAujYhkpqv5_0TYiy9PfwQVnf-F3Q2fb2RHGB1HHZBnZp4diuE7cYohjnmbUUxOKiWXl0I8xJkmpFeYxkE_xaKZsGt_27soPaX81DXacUBfNYZKX8/s320/Partition-18.jpg" /></a></div><br />
การติดตั้ง Windows หลังจาก Format ฮาร์ดดิสก์ นั้น เริ่มจากการทำให้คอมพิวเตอร์ติดต่อกับ Cd-Rom ได้ โดยการใช้แผ่น Startup Windows 98 Boot แล้วเลือกข้อ 1 หรือ Setup Driver ของ Cd-Rom จากแผ่น Driver ของ Cd-Rom ลงในฮาร์ดดิสก์โดยตรง แล้ว Restart เครื่องใหม่เพื่อลง Windows จากแผ่น CD ติดตั้งของ Windows ต่อไป <br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>การคำนวณเนื้อที่ความจุของฮาร์ดดิสก์ </b></span><br />
<br />
<b>สูตรการคำนวณคือ </b><br />
ความจุฮาร์ดดดิสก์ = จำนวนหัวอ่าน x จำนวนเซ็คเตอร์ในหนึ่งไซลินเดอร์ x จำนวนไบต์ในหนึ่งเซ็คเตอร์ x จำนวนไซลินเดอร์ <br />
ความจุในหนึ่งไซลินเดอร์ = จำนวนหัวอ่าน x จำนวนเซ็คเตอร์ในหนึ่งไซลินเดอร์ x จำนวนไบต์ในหนึ่งเซ็คเตอร์ <br />
<br />
ตัวอย่างเช่นฮาร์ดดิสก์ที่มีหัวอ่าน 4 หัว มี 615 ไซลินเดอร์ๆละ 17 เซ็คเตอร์ๆละ 0.5 กิโลไบต์(512 ไบต์) จะได้ <br />
ความจุฮาร์ดดิสก์ = 4 x 17 x 0.5 x 615 = 20,910 KB หรือ 20 MB <br />
ความจุในหนึ่งไซลินเดอร์ = 4 x 17 x 0.5 = 34 KB <br />
<br />
คราวนี้คุณก็สามารถกำหนดขนาดของความจุของแต่ละพาร์ทิชั่นจากการกำหนดจำนวนไซลินเดอร์ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าให้พาร์ทิชั่นมีจำนวน 200 Cylinders ก็จะมีขนาด 6,800 KB เป็นต้น สำหรับฮาร์ดดิสก์ของคุณจะมีจำนวนหัวอ่าน, จำนวนไซลินเดอร์, จำนวนเซ็คเตอร์ในหนึ่งไซลินเดอร์ และจำนวนไบต์ในหนึ่งเซ็คเตอร์เป็นเท่าใด ให้ตรวจสอบจากผู้ขาย หรือเอกสารที่แนบมากับฮาร์ดดิสก์Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-56239314044713498932009-09-17T08:07:00.000-07:002009-09-17T08:07:18.256-07:00Partition Magic ซอฟต์แวร์สำหรับจัดการ พาร์ติชั่นของฮาร์ดดิสก์แบบง่าย ๆโปรแกรม Partition Magic เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้งานสำหรับ การจัดการแบ่งขนาดของฮาร์ดดิสก์ โดยสามารถทำการแบ่ง ลบ สร้าง เปลี่ยนขนาด หรือเปลี่ยนชนิดของ FAT ของฮาร์ดดิสก์ได้ โดยที่สามารถทำบนฮาร์ดดิสก์ ที่มีข้อมูลอยู่ได้เลย และข้อมูลที่เก็บอยู่ จะไม่มีการสูญหายด้วย (ถ้าไม่มีปัญหาของเครื่องระหว่างการทำงาน) นอกจากนี้ ประโยชน์ที่เห็นได้อย่างชัดเจนอีกอย่างหนึ่งคือ ผู้ที่ได้ทำการลง Windows XP ไว้แบบ NTFS และเกิดเปลี่ยนใจจะลบหรือ format พาร์ติชั่นที่เป็น NTFS จะไม่สามารถ ทำได้ง่ายนัก แต่ด้วยโปรแกรม Partition Magic นี้ จะสามารถลบ FAT ที่เป็นแบบ NTFS ได้สบาย ๆ<br />
<br />
• เมื่อเอ่ยถึง การจัดการกับฮาร์ดดิสก์ ในสมัยก่อนจะมีซอฟต์แวร์ที่นิยมใช้งานกันมากคือ FDISK ที่มีมากับ DOS หรือ Windows โดยที่ตัว FDISK นี้ จะเป็นโปรแกรมเล็ก ๆ สำหรับใช้ในการ ลบหรือสร้างพาร์ติชั่นของฮาร์ดดิสก์ โดยสามารถกำหนดขนาดของ แต่ละพาร์ติชั่นได้ตามต้องการ ก่อนที่จะทำการ format เพื่อใช้งานต่อไป แต่ปัญหาที่มักจะพบกันบ่อย ๆ คือ การสร้างหรือลบ พาร์ติชั่นด้วยโปรแกรม FDISK นั้น จะทำให้ข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์หายไป และสำหรับคนที่ไม่มีฮาร์ดดิสก์อีกตัวมาสำรองข้อมูลไว้ ก็จะต้องสูญเสียข้อมูลไปด้วย ดังนั้น Partition Magic ก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่น่าใช้ <br />
<br />
<b>มาทำความเข้าใจกับซอฟต์แวร์ Partition Magic ที่จะแนะนำตัวนี้กันก่อน</b><br />
เนื่องจากว่า ตัวโปรแกรมเต็ม ๆ ของ Partition Magic นั้นจะมีขนาดใหญ่มาก และหาดาวน์โหลดมาใช้งานได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น ซอฟต์แวร์ที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้ จะไม่ใช่เป็นตัวเต็มของโปรแกรมนี้ แต่จะเป็นแผ่นดิสก์ที่ได้จากการทำ Create Rescue Diskettes ซึ่งจะได้เป็นแผ่นดิสก์ออกมา มีขนาดแค่เพียงแผ่นดิสก์ 1 แผ่นเท่านั้น และสามารถนำแผ่นดิสก์ที่ได้นี้ ไปใช้บูตเครื่อง และเรียกใช้งานโปรแกรม Partition Magic ได้เหมือนกัน โดยอาจจะมีความสามารถบางอย่างที่ถูกตัดออกไปบ้าง แต่ส่วนที่ยัง สามารถใช้งานได้ ก็เพียงพอ ต่อความต้องการแล้วหละครับ โดยสามารถดาวน์โหลดได้ <a href="http://www.thaiware.com/main/info.php?id=5690">ที่นี่</a> จากนั้น ก็ทำการ แตกไฟล์ ที่ดาวน์โหลดไปด้วย winzip ออกมาก่อน จากนั้น ก็ดับเบิ้ลคลิกเรียกไฟล์ข้างใน เพื่อที่จะเขียนลงแผ่นดิสก์ได้เลย<br />
<br />
เอาหละครับ เมื่อจัดการทำแผ่นดิสก์ได้เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มต้นการบูตเครื่องจากแผ่นดิสก์นี้ได้เลย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPo-oGQHMXTaWSvOxvSqX5jpjn26q3Ox2ySGPChBn4VeqFnQN3eV-3n-uGiK_otyZftizqan8u9QTVG2GbEND5XRT9mJ5ahTXqGr_pcsFN9oln9USvlvFq4gG3NXmBYBXKE845UkqGBhU5/s1600-h/Partition+Magic-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPo-oGQHMXTaWSvOxvSqX5jpjn26q3Ox2ySGPChBn4VeqFnQN3eV-3n-uGiK_otyZftizqan8u9QTVG2GbEND5XRT9mJ5ahTXqGr_pcsFN9oln9USvlvFq4gG3NXmBYBXKE845UkqGBhU5/s320/Partition+Magic-1.jpg" /></a></div><br />
เมื่อบูตเครื่องด้วยแผ่นดิสก์ของ Partition Magic จะได้ตามภาพด้านบนนี้ รอสักครู่ก่อน<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5oFLDFpmjkHX9OTEc1DlKQ6jach82QbvxJW5Y-OjqQ590gViroV4PDQLBU809C20DGk_jojjvmDvIEQxUnzeOONXsbcK9oX11W9omiq-4sWnhrz40eCe3H6PXt_KewUs0uhychbeqbVEV/s1600-h/Partition+Magic-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5oFLDFpmjkHX9OTEc1DlKQ6jach82QbvxJW5Y-OjqQ590gViroV4PDQLBU809C20DGk_jojjvmDvIEQxUnzeOONXsbcK9oX11W9omiq-4sWnhrz40eCe3H6PXt_KewUs0uhychbeqbVEV/s320/Partition+Magic-2.jpg" /></a></div><br />
เริ่มเข้าหน้าจอของโปรแกรม รอสักครู่ครับ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnRrrSMw_7ssU1MeDCaK0SfkRDiQcij47WfoQwpOa8Ev6NQNnTOoJP3ZYPPqZeWicG4hUSQt53KRjMh1jwFR9skXOqRUh3t0xkHHwBP9hyphenhyphenmQsl2AuCFxIt76XCxGRzYm4uqVH5hXIBxBob/s1600-h/Partition+Magic-3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnRrrSMw_7ssU1MeDCaK0SfkRDiQcij47WfoQwpOa8Ev6NQNnTOoJP3ZYPPqZeWicG4hUSQt53KRjMh1jwFR9skXOqRUh3t0xkHHwBP9hyphenhyphenmQsl2AuCFxIt76XCxGRzYm4uqVH5hXIBxBob/s320/Partition+Magic-3.jpg" /></a></div><br />
หลังจากนั้น ก็จะเริ่มเข้าสู่การใช้งานตัวโปรแกรมครับ ขั้นแรก ทำการเลือก Disk หรือฮาร์ดดิสก์ที่เราต้องการทำงานให้ถูกต้องก่อน จากปุ่มที่ด้านบนขวามือ และลองมาดูรายละเอียดของฮาร์ดดิสก์ ที่มีอยู่ในเครื่องครับ (ตัวอย่างในภาพ เป็นฮาร์ดดิสก์ของผม ที่ได้ทำการ แบ่งพาร์ติชันต่าง ๆ ไว้ และมีส่วนที่เป็น NTFS ที่ไม่สามารถลบด้วย FDISK ธรรมดาได้ด้วย)<br />
<br />
ต่อไปนี้ ก็จัดการทำในสิ่งที่ต้องการได้เลย เช่นจะเปลี่ยนขนาด ลบ สร้าง หรือเปลี่ยนแปลงค่าต่าง ๆ โดยเลือกจากเมนูต่าง ๆ ครับ โดยที่จะขอ อธิบายความหมายของแต่ละเมนูคร่าว ๆ ที่ใช้งานบ่อย ๆ ดังนี้<br />
<br />
• Resize/Move คือการเปลี่ยนแปลงขนาดของพาร์ติชันที่ได้เคยแบ่งไว้แล้วใหม่ โดยอาจจะเปลี่ยนให้ใหญ่ขึ้น หรือเล็กลงได้ตามต้องการ โดยที่ข้อมูลไม่สูญหายไปไหน (แต่ถ้าข้อมูลสำคัญมาก ๆ ก็น่าจะสำรองเผื่อไว้ก่อน) <br />
• Create คือการสร้างพาร์ติชันขึ้นมาใหม่ ต้องมีพื้นที่ว่าง เหลือมากพอที่จะสร้างพาร์ติชันใหม่ <br />
• Delete คือการลบพาร์ติชันที่สร้างไว้แล้ว สามารถลบ NTFS ของ Windows XP ได้ด้วย <br />
• Label คือการเปลี่ยนชื่อของ Volumn Label ของฮาร์ดดิสก์ <br />
• Format คือการ format ฮาร์ดดิสก์ <br />
<br />
นอกจากนี้ ก็ยังมีเมนูของการ Convert และ Advance ที่สามารถใช้กำหนดค่าต่าง ๆ ของพาร์ติชั่นไดอีกด้วย แต่สำหรับ การใช้งาน ในเบื้องต้น ก็คงไม่จำเป็นต้องใช้งานมากนักครับ ดังนั้น ส่วนนี้ผมขอข้ามไป โดยจะแนะนำ เฉพาะส่วนที่ ควรจะทราบไว้ และเป็นส่วนที่ น่าจะใช้งานจริง ๆ เท่านั้น<br />
<br />
<b>ตัวอย่างของการแนะนำครั้งนี้</b> คือการทำ format พาร์ติชันที่ถูกสร้างจาก Windows XP และเป็น NTFS โดยจะทำการ format และเปลี่ยนให้เป็น FAT32 เพื่อใช้งานใหม่ (เพราะอย่างที่บอกไว้ว่า หลายคนมีปัญหาลบ Windows XP แบบ NTFS ไม่ได้)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKtD1JIxhwW6HCLfNtb_STLeMEkGvIh8Kb80Xidav16mj_SWNhObZygZrkC6CqjRIOA3vKqjsdQtwsH7bRRcuZ8Jxx0JVVzDo2HE269uwAuP1T_I-d6_TbpkqsWffOLice3JQjGED8LJ8G/s1600-h/Partition+Magic-4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKtD1JIxhwW6HCLfNtb_STLeMEkGvIh8Kb80Xidav16mj_SWNhObZygZrkC6CqjRIOA3vKqjsdQtwsH7bRRcuZ8Jxx0JVVzDo2HE269uwAuP1T_I-d6_TbpkqsWffOLice3JQjGED8LJ8G/s320/Partition+Magic-4.jpg" /></a></div><br />
โดยการคลิกเมาส์ที่ พาร์ติชั่นที่ต้องการทำงานก่อน จากนั้น เลือกที่เมนู Operations และ Format เพื่อทำการ format ครับ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMrf3vzFwi0EdRmniVeh1KrQniJ9vf51poTXwWu9aqd7D-d09ZDF-8cWwmLTf_hqcuyItGDzwUVdPTgVPOYakcmGh1edwff8hNH11pTb0t31aHAZ1I_JCWdJz0KNbsCgiTvyjiP7frnzWG/s1600-h/Partition+Magic-5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMrf3vzFwi0EdRmniVeh1KrQniJ9vf51poTXwWu9aqd7D-d09ZDF-8cWwmLTf_hqcuyItGDzwUVdPTgVPOYakcmGh1edwff8hNH11pTb0t31aHAZ1I_JCWdJz0KNbsCgiTvyjiP7frnzWG/s320/Partition+Magic-5.jpg" /></a></div><br />
จากนั้น ก็เลือกรูปแบบของระบบ FAT ใหม่ เช่นสำหรับการใช้งานทั่วไปก็เลือกเป็น FAT32 ใส่ชื่อ Label ที่ต้องการ จะตั้งชื่อให้กับ ฮาร์ดดิสก์ และพิมพ์คำว่า OK ในช่องข้างล่าง เพื่อการยืนยันคำสั่งครับ จากนั้นก็กดที่ปุ่ม OK เพื่อกลับไปหน้าแรก<br />
<br />
ในตรงนี้ โปรแกรมจะยังไม่ได้ทำงานทันทีนะครับ เราสามารถกำหนดงานอื่นให้กับโปรแกรมได้อีก แต่ถ้าต้องการให้โปรแกรม ทำงานตามที่เราต้องการ ก็กดที่ปุ่ม Apply ที่มุมขวาด้านล่างได้เลย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3lCF3596kfksCyE3NCH8yY2TncHyAW0nSVzPK_vdPu_YdiCewzaqJw2oHhReUdlXX_7HTvpzJIvmryKunaHjpT-w0hrydxFqDjjVRkAwaI4KY62nU24I0M2fZNMAwYJGrmfUIyD7qI-AM/s1600-h/Partition+Magic-6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3lCF3596kfksCyE3NCH8yY2TncHyAW0nSVzPK_vdPu_YdiCewzaqJw2oHhReUdlXX_7HTvpzJIvmryKunaHjpT-w0hrydxFqDjjVRkAwaI4KY62nU24I0M2fZNMAwYJGrmfUIyD7qI-AM/s320/Partition+Magic-6.jpg" /></a></div><br />
กดที่ปุ่ม Apply เพื่อเริ่มต้นการทำงาน และกด Yes เพื่อยืนยันอีกครั้ง<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgl5k7rowjQWpuqjTvC_pdb0mk9lY2ed_723bUR85K8Asv9bd4Y4qNEVq8i9arK07dlFxVQCqz3FqABsz2QXJAm2mMLD4Vy4PjLzi7EbPdUcFcW5_3VAPBu3z5mLWDJ9JkYDkD1tM1GCHE7/s1600-h/Partition+Magic-7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgl5k7rowjQWpuqjTvC_pdb0mk9lY2ed_723bUR85K8Asv9bd4Y4qNEVq8i9arK07dlFxVQCqz3FqABsz2QXJAm2mMLD4Vy4PjLzi7EbPdUcFcW5_3VAPBu3z5mLWDJ9JkYDkD1tM1GCHE7/s320/Partition+Magic-7.jpg" /></a></div><br />
รอสักครู่ ให้โปรแกรมทำงานไปจนเสร็จนะครับ เมื่อโปรแกรมทำงานเสร็จแล้ว ก็กด OK และถ้าไม่ต้องการทำอะไรต่อ ก็กดที่ปุ่ม Exit เพื่อออกจากโปรแกรมได้เลยครับ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiE300VCbMNip2yASkp5S1EFFZ9LPAMAd10dABPxNynmN0w-w8rQKkdRzqHZskxp4Pdh1-ijE-iCwBXkLnWNqT5HlGcg5cp9p4u1T2loBlowheE_A34U4AZmDyup4pDz2dDWGmmYiwtuTzv/s1600-h/Partition+Magic-8.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiE300VCbMNip2yASkp5S1EFFZ9LPAMAd10dABPxNynmN0w-w8rQKkdRzqHZskxp4Pdh1-ijE-iCwBXkLnWNqT5HlGcg5cp9p4u1T2loBlowheE_A34U4AZmDyup4pDz2dDWGmmYiwtuTzv/s320/Partition+Magic-8.jpg" /></a></div><br />
ในบางครั้งที่เรากดออกจากโปรแกรม อาจจะมีการถามแบบตัวอย่างในภาพด้านบนนี้ เนื่องจาก การที่เราไลบ สร้างพาร์ติชั่นใหม่ การเรียกชื่อไดร์ฟเช่น C: D: E: อาจจะเปลี่ยนไปจากเดิม ตรงนี้ก็กด OK ไปเลยก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรครับ<br />
<br />
<b>สรุป Partition Magic</b> นับได้ว่าเป็นซอฟต์แวร์ ที่น่าจะมีติดเครื่องไว้ใช้งานมาก ๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องทำการ format หรือแบ่งขนาดของฮาร์ดดิสก์บ่อย ๆ ครับ และโดยเฉพาะการใช้งานในการลบ NTFS ของ Windows XP ที่ทำได้แบบง่าย ๆ ก็ทดลองเล่นกันดูเองครับ ส่วนใครติดใจโปรแกรมนี้ จะหาซอฟต์แวร์ ที่เป็นตัวเต็ม มาใช้งานแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็ได้ครับ<br />
<br />
<b>*** ข้อควรระวัง ในการใช้งาน Partition Magic</b> คือ บ่อยครั้งที่เกิดการเครื่องแฮงค์ ระหว่างการแบ่งพาร์ติชั่น ซึ่งจะพบได้มาก ในเครื่องที่มีอายุการใช้งานมานานแล้ว หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่มีอุปกรณ์บางตัว อาจจะทำงานได้ ไม่สมบูรณ์เต็มที่ (ปัญหานี้พบบ่อยมากนะครับ) ซึ่งส่วนมาก อาจจะเกิดอาการ พาร์ติชั่นหายไปเลย หลาย ๆ ท่าน จึงมีการตั้งชื่อภาษาไทยให้กับโปรแกรมนี้ว่า "พาร์ติชั่นล่องหน" นะครับ <b>***</b>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-86031776912654632052009-09-17T07:41:00.000-07:002009-09-17T07:41:36.157-07:00Direct Rambus มารู้จักหน่วยความจำชนิดนี้กันเถอะ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWyrjooz84tzO8emNb5FNNDAkqvuu62F4PYv_nWYE93wpLjzspzSSquA3TbpkTsi7QGDUb3x3j1pr4GBxZBGtrAx2lVK6ny6l4kOO0pcsn3dlCfUq-kEpBOzhVpMVrZcP0oimvpuKBfnzV/s1600-h/Direct+Rambus-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgWyrjooz84tzO8emNb5FNNDAkqvuu62F4PYv_nWYE93wpLjzspzSSquA3TbpkTsi7QGDUb3x3j1pr4GBxZBGtrAx2lVK6ny6l4kOO0pcsn3dlCfUq-kEpBOzhVpMVrZcP0oimvpuKBfnzV/s320/Direct+Rambus-1.jpg" /></a></div><br />
หลังจากที่ Intel ได้เผยข้อมูล Chipset i820 ซึ่งรองรับการทำงานของหน่วยความจำอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่คุ้นหู คุ้นตาเรากันสักเท่าไรนัก นั่นคือ Rambus ก็ทำให้กระแสเกี่ยวกับ Rambus นี้ เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งตอบรับ และ ต่อต้าน ทั้งที่จริงๆ แล้ว Rambus ก็ไม่ใช่อะไรที่ใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งคิดค้นขึ้นมา มันมีมานานแล้ว แต่ไม่ได้รับความสนใจ ดังนั้น การที่ Intel หันมาใช้ Rambus นี้ ก็เหมือนเป็นการปลุกผี Rambus ให้กลับมีชื่อขึ้นมา <br />
<br />
แล้ว Rambus นั้น คืออะไร? มีดีอย่างไร? ทำไม Intel ถึงได้หันมาใช้ Rambus นี้? เพราะ Intel เล็งเห็นว่า Rambus มีประสิทธิภาพสูงกว่า SDRAM ที่ใช้อยู่ อย่างนั้นหรือ? คำถามเหล่านี้ อาจเป็นคำถามที่ค้างคาใจเพื่อนๆ อยู่ ก็ได้ ... <br />
<br />
เรามาศึกษาเรื่องของ Rambus กันดีกว่านะครับ ว่ามันคืออะไร? มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร? เพื่อจะได้เป็นแนวทาง ในการหาคำตอบของคำถามที่เหลือกันนะครับ <br />
<br />
<b>Rambus คืออะไร</b>? <br />
<br />
Direct Rambus DRAM หรือ DRDRAM นั้น เป็นชุดของเทคโนโลยีทางด้านหน่วยความจำ ที่ประกอบด้วย ความสามารถในการส่งถ่ายข้อมูลในระดับสูงของ Chip หน่วยความจำ , การเชื่อมต่อกับ Interface ของหน่วยความจำ , Signaling Protocol และ การเชื่อมต่อของสัญญาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าไว้ด้วยกัน <br />
<br />
<b>Rambus </b>นี้ เป็นเทคโนโลยีทางด้านหน่วยความจำความเร็วสูง รุ่นที่ 3 ที่คิดค้นและพัฒนาโดย บริษัท Rambus Inc. แห่ง Mountain View รัฐ California ซึ่ง บริษัท Rambus นี้ ไม่ได้ผลิต Chip หน่วยความจำชนิดนี้ และ ไม่ได้ผลิตแผงวงจร ASIC ( Application Specific Integrated Circuit ) เพื่อใช้ใน การเชื่อมต่อแต่อย่างใด .. แต่ทาง Rambus นั้น ได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์ทางด้านการออกแบบวงจรต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่พวกเขาทำการออกแบบ และพัฒนาเอาไว้ ซึ่งถ้าบริษัทผู้ผลิตหน่วยความจำใดๆ ต้องการจะผลิตหน่วยความจำชนิดนี้ ก็ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ให้กับทาง Rambus แทน <br />
<br />
พูดง่ายๆ ก็คือ ตัวเอง ไม่ผลิตเอง แต่ขาย Design ให้กับผู้อื่น เอาไปผลิตนั่นเองละครับ <br />
<br />
และเมื่อไม่นานมานี้ทาง Intel ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ Micro Processor และ ผู้ผลิต Chipset ต่างๆ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้ประกาศว่าจะใช้หน่วยความจำชนิด Direct Rambus เพื่อมาใช้เป็นหน่วยความจำหลักของเครื่อง PC ( Personal Computer ) ในอนาคต ซึ่งก็ได้ ให้เหตุผล หลักในการที่จะใช้ หน่วยความจำชนิดนี้อยู่ 2 ข้อ<br />
<br />
1. คือ ถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของหน่วยความจำที่ใช้กันมานานแล้ว และ <br />
2. Direct Rambus นี้ ยังผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบของหน่วยความจำ ทั้ง Chip ของหน่วยความจำเอง , Module ของหน่วยความจำที่จะใช้ต่อเข้ากับ Chipset , โปรโตคอลของสัญญาณต่างๆ , อัตราการรับส่งข้อมูล , สัญญาณนาฬิกา และ การจัดการด้านอุณหภูมิต่างๆ <br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTct71rCP3hBYYsBZh9NEBsATQ8roZu0c16ikpkfiF4_VwL7NulmHv2dBZ701fTBSNTsn9H7-Zg90oP-2RH1HX7KE3FBlZaI6o72OZgQ4r9Fysnk68L_odwQ6CmRRP31FGY6vm8zNOjNbM/s1600-h/Direct+Rambus-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTct71rCP3hBYYsBZh9NEBsATQ8roZu0c16ikpkfiF4_VwL7NulmHv2dBZ701fTBSNTsn9H7-Zg90oP-2RH1HX7KE3FBlZaI6o72OZgQ4r9Fysnk68L_odwQ6CmRRP31FGY6vm8zNOjNbM/s320/Direct+Rambus-2.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzLZIQfkjLZV6bz-z4I00mffaOJNVTalAHvkjhm_RxoFKW1RcSUZsC1LV3AoXzKT4_RzYuCwUQhdYzH6OrUqzXPdS2VPiK-OrfbbqOyys9HEVlSigkU_lkmr7oYP_7uZjQo2fcPtapU2Fw/s1600-h/Direct+Rambus-3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzLZIQfkjLZV6bz-z4I00mffaOJNVTalAHvkjhm_RxoFKW1RcSUZsC1LV3AoXzKT4_RzYuCwUQhdYzH6OrUqzXPdS2VPiK-OrfbbqOyys9HEVlSigkU_lkmr7oYP_7uZjQo2fcPtapU2Fw/s320/Direct+Rambus-3.jpg" /></a></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-82378234223489672612009-09-17T07:27:00.000-07:002009-09-17T07:27:29.223-07:00เจาะกะโหลก! DDR RAM111111 วันนี้ก็จะพามารู้จักกับ DDR SDRAM ซึ่งตอนนี้ราคาก็ได้ถูกลงแล้วหลังจากตอนที่นำเข้ามาแรกๆ 128Mb 8,xxx บ. ตอนนี้อยู่ที่ 4,xxx บ. ราคาลงมากว่าครึ่ง เพื่อนๆ หลายคนคงสงสัยว่า DDR SDRAM มันมีประสิทธิภาพแตกต่างกับ SDRAM และ RAMBUS อย่างไร ตามมาดูเลยครับ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOYoj-QxGefm0wu4G9ZzyulsW5o-SI6TWpqYxnGoA3686HsUVovba8Ip1wGXsbTotORhmds995P_yoa_2EvD5YLZoO6HctBO2dKXghyxIwPR8LZcEoyTGxorm6mH59UQHfaLh2o0W-UXsD/s1600-h/DDR+RAM-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOYoj-QxGefm0wu4G9ZzyulsW5o-SI6TWpqYxnGoA3686HsUVovba8Ip1wGXsbTotORhmds995P_yoa_2EvD5YLZoO6HctBO2dKXghyxIwPR8LZcEoyTGxorm6mH59UQHfaLh2o0W-UXsD/s320/DDR+RAM-1.jpg" /></a></div><br />
<b>DDR คืออะไร ?</b><br />
11111 DDR ย่อมาจากคำว่า Double Data Rate ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบใหม่ ที่จะเข้ามาแทนที่ SDRAM ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน เนื่องจาก DDR ได้รับการพัฒนา และ ยึดถือหลักการทำงานตามปกติของหน่วยความจำแบบ SDRAM จึงทำให้ทำงานได้เหมือนกัน SDRAM แทบทุกอย่าง แตกต่างกันตรงที่ SDRAM โดยทั่วไปจะมีการโอน ถ่ายข้อมูลเพียงครั้งเดียวในหนึ่งลูกของสัญญาณนาฬิกา ในขณะที่ DDR สามารถส่งข้อมูลได้ถึง 2 ครั้งในหนึ่งลูกของสัญญาณนาฬิกาดังรูป <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgi253N5nHukUcmHlRjZaH9s4RDDkU5Do1l752qU6IUFXNvfXB8qYdLqWC6VB9jB2kgab5mo4mgZZIHLxKVnXmdd-GmsFHG96LbOtwtkoEE5IsTS1pE5MeOaLwd9PlqypqxnYHZCEhWHYr2/s1600-h/DDR+RAM-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgi253N5nHukUcmHlRjZaH9s4RDDkU5Do1l752qU6IUFXNvfXB8qYdLqWC6VB9jB2kgab5mo4mgZZIHLxKVnXmdd-GmsFHG96LbOtwtkoEE5IsTS1pE5MeOaLwd9PlqypqxnYHZCEhWHYr2/s320/DDR+RAM-2.jpg" /></a></div><br />
คือสามารถส่งข้อมูลทั้งขาขึ้นและขาลงได้ในครั้งเดียว ดังนั้นความเร็วที่แท้จริงของ Bus จึงเพิ่มเป็น 266 MHz ซึ่งมากกว่าหน่วยความจำ SDRAM PC133 ถึง 2 เท่า ส่งผลให้ขนาด BANDWIDTH ของหน่วยความจำนั้นสูงขึ้นจากเดิมถึง 50% ทำให้ระบบต่างๆทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการใช้หน่วยความจำแบบเดิม <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivr7L9oadj4g2wUQ2Dfs_TRQdyIQWGvYTtlTRuUvk55dqCjew_JdkW8zh3UTdEk5yDDtl2uXPnzGvM7qDU4nC9g1G4wquDtiMJRZHyR53k6bmAun7X7Pa05nD0moIH57H04_MUR8Qwg6kV/s1600-h/DDR+RAM-3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivr7L9oadj4g2wUQ2Dfs_TRQdyIQWGvYTtlTRuUvk55dqCjew_JdkW8zh3UTdEk5yDDtl2uXPnzGvM7qDU4nC9g1G4wquDtiMJRZHyR53k6bmAun7X7Pa05nD0moIH57H04_MUR8Qwg6kV/s320/DDR+RAM-3.jpg" /></a></div><br />
นอกจาก DDR จะทำงานได้เป็น 2 เท่า แล้วยังเป็นการช่วยแก้ปัญหาคอขวดในการใช้งานให้ลดลงอย่างมาก ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า DDR SDRAM เหนือกว่า <br />
SDRAM PC100/133<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTDP9SJT3ulQ9CO4HeSAP2lk3rKhJKDDU1udjvZ0fvzAyLQNhyphenhyphensn6Sv_sOvkB0K8jEarHXtLguAqMSn1qW3CjfrPUOSVGQhZpfqncZawdkDIIINKjkh3DFHKbOJh0C72EHlp6d97f0mi-K/s1600-h/DDR+RAM-4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTDP9SJT3ulQ9CO4HeSAP2lk3rKhJKDDU1udjvZ0fvzAyLQNhyphenhyphensn6Sv_sOvkB0K8jEarHXtLguAqMSn1qW3CjfrPUOSVGQhZpfqncZawdkDIIINKjkh3DFHKbOJh0C72EHlp6d97f0mi-K/s320/DDR+RAM-4.jpg" /></a></div><br />
หน่วยความจำแบบ DDR SDRAM ในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 แบบคือ PC1600 และ PC2100 ซึ่งตัวเลขที่ต่อท้ายไม่ได้หมายถึงความเร็วของระบบ BUS ดังเช่นตัวเลขที่ต่อท้าย SDRAM แต่กลับเป็นค่าที่ใช้ระบุขนาด BANDWIDTH ของหน่วยความจำ มาดูในส่วนของ Benchmark กันดีกว่า<br />
BAPco's SYSmarkj (Windows® 2000)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjibvJuJIWZoS2F9nCyOA9qPqKlni974So17ZJT3ksCaVXjUAa3zLkdK72t6fqWwnNnFAB8I_AU_KHoTtc8LTqO1S2bMyVAw8eecbH5LcsEsfyaBQlKpbdj3HBY3Q1zeSP-M34C9m7dyqkp/s1600-h/DDR+RAM-5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjibvJuJIWZoS2F9nCyOA9qPqKlni974So17ZJT3ksCaVXjUAa3zLkdK72t6fqWwnNnFAB8I_AU_KHoTtc8LTqO1S2bMyVAw8eecbH5LcsEsfyaBQlKpbdj3HBY3Q1zeSP-M34C9m7dyqkp/s320/DDR+RAM-5.jpg" /></a></div><br />
แต่ทว่าที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงทฤษฎี ส่วนการใช้งานจริง DDR RAM มีประสิทธิภาพเหนือกว่า SDRAM ไม่ถึง 2 เท่าตามทฤษฎี ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบัน Chipset ที่ผลิตขึ้นเพื่อสนับสนุน DDR RAM ยังไม่สามารถเรียกใช้ประสิทธิภาพของแรมชนิดนี้ได้อย่างเต็มที่รวมทั้ง Software ต่างๆ แต่ทว่าก็ยังมีการพัฒนาต่อไป และในไม่ช้าเราจะได้เห็น DDRII<br />
หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย<br />
<br />
<b>อ้างอิงโดย จุลสาร ATEC-COMPUTER</b>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-12626555531061506482009-09-17T07:07:00.000-07:002009-09-17T07:07:02.378-07:00ทำอย่างไร เมื่อคอมพิวเตอร์แฮงค์?การใช้งาน Windows 98 ปกติต้องบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ เลยที่จะเกิดอาการแฮงค์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลเนื่องจาก ระบบของ Windows ยังมีปัญหาต่าง ๆ อยู่ โดยที่หลาย ๆ ท่านก็ยังบอกว่าไม่มี Windows รุ่นไหนหรอกครับที่จะสมบูรณ์ที่สุด ทุกอย่างย่อมต้องมีปัญหา และมีการแก้ไขปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ครับ เข้าเรื่องกันดีกว่า ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี เมื่อจู่ ๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังใช้งาน (หรือเล่น) อย่างเมามัน เกิดอาการนิ่งไปซะดื้อ ๆ ซะนี่ แต่อย่าเพิ่งคิดนะครับ ว่าผมจะสอนวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จริงต้องบอกว่า การแก้ไขปัญหาแบบนี้ทำได้ยากมาก ๆ เลยครับ เพราะสาเหตุของการแฮงค์ มีได้ร้อยแปดพันเก้า ต้องไล่ไปทีละจุดทีเดียว จนกว่าจะเจอต้นเหตุของปัญหานั้น ๆ จริง ๆ เอาเป็นว่า วันนี้ จะแนะนำสิ่งที่ควรทำในเบื้องต้นเท่านั้น ลองทำดูทีละขั้นตอนกันนะครับ <br />
<br />
<b>อย่าเพิ่งกดปุ่ม Reset หรือปิดเครื่องในทันที </b><br />
เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์ หรือนิ่งค้างไม่ยอมรับการทำงานต่าง ๆ โดยปกติแล้ว อย่าพยายามกดปุ่ม Reset หรือปิดเครื่องในทันที เพราะการทำแบบนั้น อาจจะมีผลทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ ฮาร์ดดิสก์ มีปัญหาหรือเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น การปิดเครื่อง ควรจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะทำ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้แล้วจริง ๆ เท่านั้น <br />
<br />
<b>พยายามปิดโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ค้างอยู่ </b><br />
สิ่งแรกที่ควรทำ คือให้พยายามปิดโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่และเกิดการค้างขึ้นมา โดยวิธีการคือ ให้กดปุ่ม Ctrl + Alt + Del พร้อม ๆ กันทั้ง 3 ปุ่ม ซึ่งจะมีหน้าต่างเมนูของการ Close Program ขึ้นมา <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjt0Rt2MUT2ViFF_uVseQe27DfDOjTXxui2JQTWVXGQIi0i9UpUauTLMakgoMAyjrCCiJ7Kei6BAwhXZ5kNR65s_By00oZukIiF_YYaQsRaNOTGu5biU-HgDhBHht2a2ktVOzZgwazMokAV/s1600-h/comhang1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjt0Rt2MUT2ViFF_uVseQe27DfDOjTXxui2JQTWVXGQIi0i9UpUauTLMakgoMAyjrCCiJ7Kei6BAwhXZ5kNR65s_By00oZukIiF_YYaQsRaNOTGu5biU-HgDhBHht2a2ktVOzZgwazMokAV/s320/comhang1.jpg" /></a></div><br />
ตรงนี้ หน้าตาอาจจะไม่เหมือนกับรูปตัวอย่างนี้นัก ขึ้นอยู่กับว่าในเครื่องนั้น มีการเรียกซอฟต์แวร์อะไรไว้บ้าง แต่หลักการของเมนูนี้คือ เราสามารถทำการเลือกปิดซอฟต์แวร์บางตัว (ที่มีปัญหาหรือค้างอยู่ขณะนั้น) ได้เลย โดยปกติ หากมีซอฟต์แวร์ที่มีปัญหาค้างอยู่ มักจะมีข้อความว่า Not Responding ต่อท้ายชื่อซอฟต์แวร์ตัวนั้น ๆ ด้วยเสมอ ก็ให้เลือกปิดไปเลยครับ (ถ้ายังสามารถปิดได้) โดยกดที่ปุ่ม End Task ซึ่งหากไม่มีปัญหาอะไรมาก จะสามารถปิดโปรแกรมนั้นได้ทันที และหลังจากนั้น ก็ควรที่จะสั่ง Restart Computer ใหม่สักครั้ง ก่อนที่จะใช้งานต่อไป <br />
<br />
แต่ถ้าในขณะนั้น ไม่สามารถปิดซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้เลย เราจะทำอะไรได้บ้าง อย่างแรกคือ ให้ทำการทดลองสั่ง Shutdown โดยการกดที่ปุ่ม Shut Down ซึ่งเครื่องอาจจะรับหรือไม่รับก็ได้ ให้ทดลองดูก่อนครับ <br />
<br />
ถ้ากดที่ Shut Down แล้วก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ ขั้นตอนต่อไปคือการกดปุ่ม Ctrl + Alt + Del พร้อม ๆ กันซ้ำอีกครั้ง ถ้าอ่านตามคำอธิบายด้านบนก็จะบอกว่า เป็นการ Restart Computer ใหม่ครับ <br />
ในบางครั้ง เมื่อเราสั่ง Shutdown อาจจะมีเมนูขึ้นมาถามว่า ยังมีซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่ จะให้รอ (Wait) หรือปิดเครื่องไปเลย (Shut Down) เผื่อไว้ว่า บางครั้งเราอาจจะต้องการเวลาบ้าง เพื่อให้มีการ Close ซอฟต์แวร์ตัวนั้นจริง ๆ ตรงนี้ก็ให้เลือก Shut Down ไปเลยครับ <br />
<br />
<br />
<b>ทำไมต้องปิดซอฟต์แวร์เหล่านี้ก่อนด้วย </b><br />
หลาย ๆ ท่านคงสงสัยสิครับ ว่าทำไมเราจึงต้องปิดซอฟต์แวร์เหล่านี้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ ความเป็นจริงแล้ว ถ้าเครื่องค้าง เราก็กดปุ่ม Reset หรือกดปุ่มปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่เลยก็ได้ ก็ขอแนะนำหลักการง่าย ๆ ครับว่า หากสามารถปิดเครื่องแบบปกติได้ เราควรจะทดลองทำดูก่อนครับ เพราะว่าถ้าเรามีการปิดเครื่องหรือ Shut Down ได้ จะเป็นการเคลียร์ข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้งานของฮาร์ดดิสก์ ให้เรียบร้อยก่อนการ Shut Down จริง ๆ ครับ และเมื่อเปิดเครื่องใหม่ ก็จะสามารถใช้งาน ต่อไปได้ตามปกติทันที (ถ้าหากไม่มีปัญหาทางฮาร์ดแวร์จริง ๆ) <br />
<br />
<b>จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่มีการ Shut Down ก่อนปิดสวิทช์ไฟ </b><br />
ถ้าหากไม่สามารถทำการ Shut Down ได้ก่อนการปิดเครื่อง เมื่อเราเปิดเครื่องมาใหม่ในครั้งต่อ ๆ ไป Windows จะมีการตรวจสอบการทำงานของฮาร์ดดิสก์ก่อนเสมอ โดยการเรียกโปรแกรม Scandisk ขึ้นมาทำงาน เราสามารถข้าม ขั้นตอนนี้ไปได้โดยการกด Enter เพื่อออกจากการทำ Scandisk ได้เลย (แต่ปกติแล้ว ก็ควรจะรอให้เครื่อง Scandisk ให้เรียบร้อยจะดีกว่า) หรือในบางครั้ง หากมีปัญหาค่อนข้างมากจริง ๆ เราอาจจะเห็นเมนูให้เลือกเข้า Safe Mode ซึ่งควรที่จะเลือกเข้า Sefe Mode สักครั้งหนึ่งก่อน ถ้าหากเครื่องไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ ก็สั่ง Restart Windows ใหม่ ทุกอย่างก็จะกลับมาทำงานเป็นปกติเหมือนเดิมครับ <br />
<br />
<b>Blue Screen คืออะไร </b><br />
หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินคำ ๆ นี้มาบ้างแล้ว ที่จริงแล้ว Blue Screen ก็คือการแฮงค์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งนั่นเอง แต่แทนที่จะมีอาการแบบ นิ่ง หรือค้างไปเฉย ๆ ที่หน้าจอ จะกลายเป็นสีฟ้า และมีตัวหนังสือบอกรายละเอียดต่าง ๆ (ที่อ่านไม่เห็นจะเข้าใจเลย) ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีข้อความบอกว่า ให้กดคีย์อะไรก็ได้ เพื่อทำงานต่อไป หรือกด Ctrl + Alt + Del เพื่อทำการ Restart Computer ถ้าหากเจอหน้าจอแบบนี้ ก็มีหลักการเดียวกันครับ คือกดลองกดปุ่มอะไรก็ได้ก่อน และพยายามทำการ Shut Down ให้ได้ แต่ถ้าหากไม่ได้จริง ๆ ก็กด Ctrl + Alt + Del เพื่อบูทเครื่องใหม่เลยครับ <br />
<br />
<b>Power Supply ของเคสรุ่นใหม่แบบ ATX </b><br />
แถมท้ายสำหรับผู้ที่ใช้เครื่องที่มีระบบ Power Supply แบบ ATX ซึ่งจะใช้ซอฟต์แวร์ในการควบคุมสวิทช์ ปิด-เปิด ดังนั้นหากเครื่องแฮงค์ ในบางครั้งอาจจะไม่สามารถกดปิดเครื่องได้ ให้ทำการกดปุ่ม Power นั้นค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีครับ จะเป็นการสั่งให้เครื่องปิดได้ โดยไม่ต้องอาศัยซอฟต์แวร์มาช่วย <br />
<br />
<b>ปัญหาส่วนใหญ่ เกิดจากอะไรบ้าง </b><br />
ส่วนใหญ่ของปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ค้างก็มีได้มากมาย แต่สาเหตุหลัก ๆ ก็ขอรวบรวมมาไว้ตรงนี้ <br />
1. การไม่เข้ากันของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นเมนบอร์ดกับการ์ดจอ หรือการ์ดเสียง <br />
2. การต่อสายไฟ สายส่งข้อมูลต่าง ๆ หลวมหรือต่อไว้ไม่แน่นดีพอ <br />
3. การเสียบแรม ขั้วต่อสาย หรือ การ์ด ต่าง ๆ หลวมหรือไม่แน่น <br />
4. ความสกปรกของจุดสัมผัสของอุปกรณ์ เช่นขาของแรม ขั้วต่อของการ์ดต่าง ๆ ในเครื่อง <br />
5. ฮาร์ดดิสก์ เริ่มมีปัญหา หรือใกล้จะเสีย <br />
6. ระบบไฟ หรือระบบจ่ายไฟไม่ดีพอ เช่นไฟตกบ่อย ๆ หรือชุดจ่ายไฟไม่ดี <br />
7. การลงโปรแกรมไม่สมบูรณ์ หรือมีปัญหากับซอฟต์แวร์บางตัว <br />
8. ความร้อนของ ซีพียู พัดลมของ ซีพียู ตรวจสอบว่ายังทำงานได้ปกติหรือไม่ <br />
9. ก่อนที่จะเกิดปัญหา ได้มีการทำอะไรบ้าง เช่นลงโปรแกรมเพิ่ม หรือเพิ่มการ์ดในเครื่อง นั่นอาจจะเป็นสาเหตุหลักก็ได้Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-87610501508449194592009-09-17T06:41:00.000-07:002009-09-17T06:41:57.976-07:00Audio Grabber โปรแกรมแปลงเพลงจาก ซีดีเพลงธรรมดา ให้เป็น MP3ในขณะนี้ เพลงในรูปแบบของ MP3 กำลังเป็นที่นิยมกันมากสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ วิธีการที่จะแปลงเพลงจากรูปแบบของ CD Audio หรือ CD เพลงธรรมดาทั่ว ๆ ไปก็ง่าย ๆ โดยใช้โปรแกรม Audio Grabber เป็นตัวแปลง มาดูวิธีการกันเลยดีกว่า<br />
<br />
เริ่มต้นจากหาโปรแกรม Audio Grabber มาติดตั้งก่อน โปรแกรมนี้จะเป็น Shareware ครับซึ่งจะมีข้อจำกัดต่าง ๆ มากเหมือนกันเช่นในรุ่นเก่า ๆ ก็จะทำการแปลงได้เฉพาะบาง Track เท่านั้น หรือในรุ่นใหม่ ๆ ที่เห็นก็คือจะทำการแปลงได้เพียงแค่ครึ่ง Track ดังนั้น งานนี้ต้องหาตัวที่เป็น Full Version มาใช้กันเอง เมื่อทำการ Download มาเรียบร้อยแล้วก็ทำการ Unzip ไปเก็บไว้ก่อน แล้วสั่ง Setup จากไฟล์ Setup.exe ได้เลย จากนั้นก็กด Next ไปเรื่อย ๆ จนเสร็จ (ง่าย ๆ นะ ขอไม่ลงรายละเอียดในส่วนของ วิธีการติดตั้งนะ) <br />
<br />
นอกจากนี้แล้ว เจ้าโปรแกรม Audio Grabber ก็ยังสามารถทำการติดตั้งตัว Encoder ตัวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ด้วย ที่ผมแนะนำให้ใช้ก็คือ BladeEnc's MP3 DLL หาได้จากเวปของ <a href="http://www.audiograbber.com-us.net/download.html">Audio Grabber Download</a> เพราะว่าจะได้เสียงที่ดีกว่าตัว Encoder ที่มีมาให้กับ Audio Grabber มาก การติดตั้ง Encoder ก็ทำได้ง่าย ๆ ครับ เพียงแค่ทำการ Unzip เอาไปเก็บไว้ใน Folder เดียวกับโปรแกรม Audio Grabber เท่านั้นก็ใช้งานได้แล้ว ในขั้นแรก ให้ทำการหา Download และติดตั้งให้ครบก่อน<br />
เริ่มต้นเรียกโปรแกรม Audio Grabber (หากหาไม่พบใน Start Menu ลองใช้ Windows Explorer เปิดหาจาก C:\Program Files\AudioGrabber นะครับ เรียกไฟล์ audiograbber.exe ตามรูปตัวอย่าง)<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWezylFYz0KK4Y6mGXdCoGXkrrdlfuJM4xiP8J3UycMjh1cpKUpE3tRrkfIh99LvWVCGOTRqin2bHlmCeXrATgFxGjkKZ4_g8wgzKCEuaXv4NSaz0Ygq-LGgeW1sNDkbzHx75MTstnKzpA/s1600-h/Audio+Grabber-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="230" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWezylFYz0KK4Y6mGXdCoGXkrrdlfuJM4xiP8J3UycMjh1cpKUpE3tRrkfIh99LvWVCGOTRqin2bHlmCeXrATgFxGjkKZ4_g8wgzKCEuaXv4NSaz0Ygq-LGgeW1sNDkbzHx75MTstnKzpA/s320/Audio+Grabber-1.jpg" width="320" /></a></div><br />
เมื่อเรียกโปรแกรมขึ้นมาและใส่แผ่น CD เพลงในช่อง CD ROM Drive จะเห็นหน้าตาดังนี้<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizbWmegaz5zdrAOq1lCV35u2zmwoibP7JfRHH0xJ9lcBkjFWDEcinNTaZeaBbcQaLQPWwgV0HJBo3S4GTq_wozchUrgJCixBJ1__-VJ71_wvJTltDOUwa0W5dTpnd1blROqb1WkQvxVPvk/s1600-h/Audio+Grabber-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="294" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEizbWmegaz5zdrAOq1lCV35u2zmwoibP7JfRHH0xJ9lcBkjFWDEcinNTaZeaBbcQaLQPWwgV0HJBo3S4GTq_wozchUrgJCixBJ1__-VJ71_wvJTltDOUwa0W5dTpnd1blROqb1WkQvxVPvk/s320/Audio+Grabber-2.jpg" width="320" /></a></div><br />
ก่อนที่จะเริ่มต้น ต้องทำการ Set ค่าต่าง ๆ ก่อนครับ เริ่มจาก ใช้เมาส์กดที่ปุ่ม Settings บน Tool Bar<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG72-Ck6HkTK1jOSOub5lL1GoTSDwBqdO5m_cexbhgIgVIBdKlYRR2MB0nzVMXLqVEa5Ouo0DcW3Hccj9-Q_cwqXTgyXyOLEQ3omjy-FFEDjc7SOnuFP9FBrw7xUItOBzm61g72v_BQ-rE/s1600-h/Audio+Grabber-3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhG72-Ck6HkTK1jOSOub5lL1GoTSDwBqdO5m_cexbhgIgVIBdKlYRR2MB0nzVMXLqVEa5Ouo0DcW3Hccj9-Q_cwqXTgyXyOLEQ3omjy-FFEDjc7SOnuFP9FBrw7xUItOBzm61g72v_BQ-rE/s320/Audio+Grabber-3.jpg" /></a></div><br />
ที่ช่อง <b>Directory to store files in</b>: ให้เลือกชื่อของ Folder ที่จะเก็บไฟล์ MP3 หลังจากที่ทำเสร็จแล้ว โดยอาจจะสร้าง Folder ขึ้นมาใหม่ก็ได้ครับ เพื่อจะได้ไม่ไปปนกับไฟล์อื่น ๆ การเลือกก็ทำโดยกดที่ปุ่ม Browse... แล้วเลือก Folder ที่ต้องการนะครับ เมื่อกำหนดเรียบร้อยแล้วก็กดที่ปุ่ม OK<br />
ทำการ Setup ในส่วนของการแปลงเป็นไฟล์ MP3 โดยใช้เมาส์กดที่ปุ่ม MP3 บนเมนู Tool Bar<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhjpYQ-oMhxq1vnSLrBG57ZAozAI61fNrQQM7mBnc2taaeB5ArwxJzJFt_GOVIF3XcooT1yMaocdUSu0BVS1eN_gSk9ikkFvoSek7CcCpTSN75Amy0LlFPQwUdN7ZYlEoW3vI2NW77iknk/s1600-h/Audio+Grabber-4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhjpYQ-oMhxq1vnSLrBG57ZAozAI61fNrQQM7mBnc2taaeB5ArwxJzJFt_GOVIF3XcooT1yMaocdUSu0BVS1eN_gSk9ikkFvoSek7CcCpTSN75Amy0LlFPQwUdN7ZYlEoW3vI2NW77iknk/s320/Audio+Grabber-4.jpg" /></a></div><br />
ทำการติ๊กถูกที่ช่องต่อไปนี้ <br />
<br />
<ul><li>Send Wavefile to MP3 CODEC</li>
<li>Delete wavefile after MP3 is created เพื่อให้ทำการลบไฟล์ wave หลังจากทำ MP3 เสร็จ</li>
<li>Encode with Highest Quality</li>
</ul><br />
หรือตามรูปด้านบนในส่วนด้านล่าง ก็คือส่วนที่สามารถให้เราทำการเลือกโปรแกรมที่จะทำการแปลงไฟล์ MP3 ได้ ซึ่งจะมีทั้งแบบ External และ Internal เนื่องจากในขั้นตอนการติดตั้ง ผมแนะนำให้ใช้ตัวแปลงของ BladeEnc DLL นะ โดยหา Download มาแล้วก็ Unzip เก็บไว้ใน Folder เดียวกับ Audio Grabber เลย การเลือกใช้ก็โดยใช้เมาส์กดเลือกที่ BladeEnc DLL ตามรูปเลย<br />
ช่องของ Mode ก็คือการเลือกจำนวนของข้อมูลที่จะเข้ารหัส โดยปกติจะใช้งานที่ 128kBit/s, 44,100Hz, Stereo ครับ แต่ถ้าใครต้องการคุณภาพเสียงที่ดีกว่านี้ หรือแย่กว่านี้ ก็ลองเลือกเป็นค่าอื่น ๆ ดูก็ได้ ซึ่งยิ่งเราเลือกค่าสูงขึ้น ขนาดของไฟล์ MP3 ที่ได้ก็จะใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย เลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กด OK เลย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8fjMMla4KdjoKqSd0VjfgXpnKAmqiXA5v8raGRxx_ZIZWNVoNacrlAoC2gg6Bn_5vIDtID5642kXYlkyj4CwDjVLMLB2G1PoBP0FSzrQVsfaFnAJl_fOBfgHGDlxEYvuctNI8xIsFAHJ2/s1600-h/Audio+Grabber-5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8fjMMla4KdjoKqSd0VjfgXpnKAmqiXA5v8raGRxx_ZIZWNVoNacrlAoC2gg6Bn_5vIDtID5642kXYlkyj4CwDjVLMLB2G1PoBP0FSzrQVsfaFnAJl_fOBfgHGDlxEYvuctNI8xIsFAHJ2/s320/Audio+Grabber-5.jpg" width="320" /></a></div><br />
ขั้นตอนต่อไป ก็คือการกด ติ๊กเครื่องหมายถูก ที่ Norm. เพื่อให้โปรแกรมทำการปรับระดับของเสียงให้เสมอกัน และกด ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ช่อง MP3 ด้วยนะ ที่ช่องของ Track ต่าง ๆ ก็เลือกเพลงที่ต้องการจะเปลี่ยนเป็น MP3 จากนั้นกดที่ Grab! เพื่อเริ่มต้น ได้เลย<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1DEV0MUhdKlowJGOQsEZHhhBuPmI5Kxj-gOox575p8ZFXc8rjAhMghUQpicEabgLqb3MMu0h6ItnPbFn_drqcJL5Om8X_TOe0OkBAmfpWi_e4f13Hu-Cdl6_ClMHA2KShmvi8FphOtMe0/s1600-h/Audio+Grabber-6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1DEV0MUhdKlowJGOQsEZHhhBuPmI5Kxj-gOox575p8ZFXc8rjAhMghUQpicEabgLqb3MMu0h6ItnPbFn_drqcJL5Om8X_TOe0OkBAmfpWi_e4f13Hu-Cdl6_ClMHA2KShmvi8FphOtMe0/s320/Audio+Grabber-6.jpg" /></a></div><br />
นี่คือภาพขณะโปรแกรมกำลังทำงาน โดยจะทำการ copy ข้อมูลจากแผ่นเพลงก่อน ทำการ Normal และเปลี่ยนเป็น MP3 ใช้เวลามากน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเร็วของเตรื่องคอมพิวเตอร์ และความเร็วของ CD-ROM Drive ด้วยนะ รอจนเสร็จ ก็จะได้ไฟล์ MP3 ตามต้องการ<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7B1-QDHctsN5JB4gXm9YMXyII1CkLY6GElZo_QCog5h912Ou9MFpD_XYw5h4Eq-48k7LT5SNMptjK0Rx6xIGIX8JJui_aOieJRfYFExKgRNvjb-_UTrR7BWCCn_GFHBhfcFJ-tfxvvFvh/s1600-h/Audio+Grabber-7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7B1-QDHctsN5JB4gXm9YMXyII1CkLY6GElZo_QCog5h912Ou9MFpD_XYw5h4Eq-48k7LT5SNMptjK0Rx6xIGIX8JJui_aOieJRfYFExKgRNvjb-_UTrR7BWCCn_GFHBhfcFJ-tfxvvFvh/s320/Audio+Grabber-7.jpg" /></a></div><br />
ไฟล์ MP3 ที่ได้จะเก็บอยู่ใน Folder ที่เราเลือกตอนแรก จะเห็นว่าขนาดไม่ใหญ่มากนัก ก็ทำการเปลี่ยนชื่อให้เป็นชื่อเพลงซะ เป็นอันจบ นำเอาไปฟังกับ Winamp ได้เลยUnknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-23373387857174026572009-09-17T00:30:00.000-07:002009-09-17T00:30:44.788-07:00108 ปัญหา เครื่องคอมพิวเตอร์รวบรวมปัญหาต่าง ๆ ที่พบได้บ่อย ๆ กับการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยได้พยายามรวบรวมปัญหาที่พบเห็นกันบ่อย ๆ และนำมาสรุปให้เป็นแนวทางสำหรับ การแก้ไขปัญหาเบื้องต้น หวังว่าจะมีประโยชน์กับคนอื่น ๆ ได้บ้าง<br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ปัญหาของ Windows</span></b><br />
<br />
• <b>หลังจาก Setup Windows ใหม่แล้วเกิดการค้าง</b> ไม่ยอมทำการ Setup ต่อไป<br />
เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สิ่งหนึ่งที่พบบ่อย ๆ คือการตั้งค่า Virus Warning ใน bios ไว้ทำให้เครื่องไม่สามารถ เขียนข้อมูลทับลงบนส่วนของ boot record ของฮาร์ดดิสก์ได้ ให้ลองแก้ใน bios ตั้งให้เป็น Disable ไว้ก่อน และหลังจากทำการ Setup Windows เสร็จแล้วค่อยตั้งเป็น Enable ใหม่ <br />
<br />
• <b>หลังจาก Setup Windows จะขึ้นข้อความ Windows Protection Error</b><br />
ที่พบบ่อย ๆ มากคือปัญหาของ RAM อาจจะเป็นเฉพาะช่วงที่ทำการ Setup Windows เท่านั้น (โดยที่ปกติก่อน Setup Windows จะใช้งานได้ ไม่เป็นอะไร) ให้ทดลองหา RAM มาเปลี่ยนใหม่ดู หรือหากเป็น SDRAM ให้ทดลองตั้งค่าใน bios ค่าของ CAS จากที่ตั้งเป็น 2 ลองตั้งเป็น 3 ดู อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง <br />
<br />
• <b>ใช้ AMD K6II-350 ขึ้นไปลง Windows95 แล้วเกิด Error แต่ลง Windows98 ได้</b><br />
จะเกิดจากการใช้ CPU ของ AMD ที่มีความเร็วตั้งแต่ 350MHz ขึ้นไปกับ Windows95 วิธีแก้ไขคือไป Download Patch สำหรับแก้ปัญหานี้ที่ AMDK6UPD.EXE มาแก้ไขโดยสั่งรันไฟล์นี้แล้วบูทเครื่องใหม่ก่อน<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>ปัญหาของ ฮาร์ดแวร์ </b></span><br />
<br />
• <b>RAM หายไปไหนเนี่ย ใส่เข้าไป 32 M. ทำไม Windows บอกว่ามี 28 M. เอง </b><br />
อาการของ RAM หายไปดื้อ ๆ จะเกิดกับการใช้เมนบอร์ดรุ่นที่มี VGA on board นะครับ ที่จริงก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่ส่วนหนึ่งของ RAM จะถูกนำไปใช้กับ VGA ครับและขนาดที่จะโดนนำไปใช้ก็อาจจะเป็น 2M, 4M หรือ 8M ก็ได้ขึ้นอยู่กับการตั้งใน BIOS ครับ<br />
<br />
• <b>ใช้เครื่องได้สักพัก มักจะแฮงค์ พอปิดเครื่องสักครู่แล้วเปิดใหม่ ก็ใช้งานต่อได้อีกสักพักแล้วก็แฮงค์อีก </b><br />
อาจจะเกิดจากความร้อนสูงเกินไป อย่างแรกให้ตรวจสอบพัดลมต่าง ๆ ว่าทำงานปกติดีหรือเปล่า หากเครื่องทำ Over Clock อยู่ด้วยก็ทดลองลดความเร็วลงมา ใช้แบบงานปกติดูก่อนว่ายังเป็นปัญหาอยู่อีกหรือเปล่า ถ้าใน bios มีระบบดูความร้อนของ CPU หรือ Main Board อยู่ด้วยให้สังเกตค่าของ อุณหภูมิ ว่าสูงเกินไปหรือเปล่า ทั้งนี้อาจจะทำการเพิ่มการติดตั้งหรือเปลี่ยนพัดลมของ CPU ช่วยด้วยก็ดี <br />
<br />
• <b>มีข้อความ BIOS ROM CHECK SUM ERROR ตอนเปิดเครื่อง </b><br />
อาการนี้ส่วนใหญ่เกิดจากถ่านของ BIOS หมดหรือเกิดการหลวมครับ ให้ลองขยับถ่านให้แน่น ๆ ดูก่อน ถ้าไม่หายก็ต้องลองเปลี่ยนถ่านบนเมนบอร์ดดู (ก่อนเปลี่ยนถ้ามี Meter วัดไฟดูก่อนก็ดี) หลังจากเปลี่ยนแล้วให้ทำการ Clear BIOS Jumper ก่อนด้วย จะเป็น Jumper ใกล้ ๆ กับ IC BIOS นั่นแหละ ทำการ Jump ค้างไว้สัก 5 วินาทีแล้วก็ Jump กลับที่เดิมก่อน หลังจากนั้นต้องเข้าไปตั้งค่าต่าง ๆ ของ BIOS ใหม่ด้วย<br />
<br />
• <b>ลืม Password ของ BIOS จะทำยังไงดี </b><br />
ให้ทำการถอดถ่านของ BIOS ออกสักครู่ แล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ ทำการ Clear Jumper BIOS ก่อนด้วย หรือลองดูวิธีการ Clear/Reset Password ของ BIOS <br />
<br />
• <b>ซื้อฮาร์ดดิสก์มาขนาดใหญ่ ๆ แต่หลังจากทำการ Format แล้วเครื่องมองเห็นแค่ 2G </b><br />
อย่างแรกให้ดูก่อนเลยว่า ใช้ระบบ FAT16 หรือ FAT32 ถ้าหากเป็น FAT16 จะมองเห็นได้สูงสุดแค่ 2G ต่อ 1 Partition เท่านั้น ต้องใช้แบบ FAT32 ครับ วิธีการคือใช้ FDISK ของแผ่น Startup Disk WIN98 มาทำ FDISK (ถ้าเป็น FDISK จาก DOS หรือ WIN95 จะเป็นแบบ FAT16)<br />
<br />
• <b>ไม่สามารถใช้งาน ฮาร์ดดิสก์ได้มากกว่า 8G. สำหรับเมนบอร์ดรุ่นเก่า ๆ</b><br />
เกิดจากที่ BIOS ไม่สามารถรู้จักกับ ฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดใหญ่ ๆ ได้ จะเป็นกับเมนบอร์ดรุ่นเก่า ๆ ที่เคยพบมาอีกแบบคือ Windows มองเห็นเกิน 8G แต่ไม่สามารถใช้งานได้ จะบอกว่าฮาร์ดดิสก์ของเราเต็ม วิธีแก้ไขอย่างแรกคือ ให้ลองทำการ Update BIOS เป็น Version ใหม่ดูก่อน (ถ้าหาได้) หรือไม่ก็หา Download โปรแกรมสำหรับจัดการพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ จากเวปไซต์ของผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ยี่ห้อนั้น ๆ หรืออาจจะใช้วิธีการแบ่ง Partition ให้มีขนาดใหญ่ไม่เกิน 8G ต่อ 1 Partition ก็อาจจะช่วยได้ <br />
<br />
<b><span style="color: blue;">ปัญหาของ ซอฟต์แวร์ </span></b><br />
• <b>หลังจากลงโปรแกรมป้องกันไวรัส McAfee 4.0.3 แล้วไม่สามารถบูทเข้า Windows ได้</b><br />
เท่าที่พบจะเกิดกับบางเครื่องเท่านั้น ปัญหาเกิดจากหลังจากที่เราติดตั้ง McAfee ลงไปแล้ว เครื่องจะทำการ Scan ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์โดยใส่เป็น Batch File ไว้ในไฟล์ autoexec.bat ซึ่งบางครั้งจะเป็นปัญหาทำให้ค้าง ไม่ยอมเข้า Windows ต่อไป วิธีแก้ไขคือ ให้เปิดเครื่องเข้าใน MS-DOS Mode โดยกดปุ่ม F8 ค้างไว้ขณะเปิดเครื่อง จะเข้ามาที่เมนู Microsoft Windows 98 Startup Menu เลือกข้อ 6. sefe mode command prompt only แล้วใช้คำสั่ง "edit autoexec.bat" เพื่อแก้ไขไฟล์โดยให้ลบบรรทัดที่มีคำสั่ง scan.exe ออกครับ ทำการ save file แล้วทดลองบูทเครื่องใหม่อีกครั้ง<br />
<br />
• <b>พิมพ์หน้า Web Page ออกเครื่องพิมพ์แบบ Ink Jet เป็นภาษาไทยไม่ได้ จะมีแต่ภาษาอังกฤษ</b><br />
ส่วนใหญ่ ปัญหานี้จะเกิดกับการใช้เครื่องพิมพ์แบบ อิงค์เจ็ท รุ่นใหม่ ๆ วิธีแก้ไขคือ ให้ลองหา Download Driver รุ่นใหม่ ๆ ของเครื่องพิมพ์จาก Web Site ของเครื่องพิมพ์นั้น ๆ เพราะบางครั้งอาจจะมีการแก้ไขปัญหานี้แล้ว หรือไม่ก็ใช้วิธีเข้าไปตั้งค่า Regional Settings ที่ Control Panel เป็น English(USA) ก่อน เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วก็เปลี่ยนกลับมาเป็น Thai เหมือนเดิม การตั้งค่าก็ทำโดยกดที่ Start เมนู Settings ; Control Panel เลือกที่ Regional Settings เปลี่ยนเป็น English(USA)<br />
<br />
• <b>สั่ง Defrag Hard Disk แล้วไม่ยอมเสร็จ จะกลับมาเริ่มต้นใหม่ วนแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ</b> สาเหตุเกิดจากมีโปรแกรมบางตัวทำงานอยู่ในเวลานั้นด้วยและสั่งเขียนข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ เช่น Screen Saver, Winamp หรือพวก Anti Virus บางตัว ให้ทำการปิดโปรแกรมเหล่านี้ให้หมดก่อน หรืออาจจะใช้วิธีเข้า Windows ใน Self Mode (กด F8 ตอนเปิดเครื่องแล้วเลือก Self Mode)<br />
<br />
• <b>ใช้การ์ดจอของ TNT แล้วเมื่อพิมพ์ข้อความต่าง ๆ สระบนล่างไม่ยอมขึ้นมาทันที</b><br />
ต้องพิมพ์ตัวต่อไปก่อนจึงจะเห็น เป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก ๆ กับผู้ที่ใช้การ์ดจอของ TNT ครับให้ลองหา Driver รุ่นใหม่ ๆ จากเวปไซต์ของผู้ผลิตการ์ดจอมาใช้ จะแก้ไขได้หรือใช้ Driver ของ Detonator Version 3.65 ขึ้นไปUnknownnoreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-20488161641187980782009-09-16T16:08:00.007-07:002009-09-16T16:08:50.996-07:00Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-91563981280677771412009-09-16T16:08:00.005-07:002009-09-16T16:08:44.411-07:00Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-48861416265941690302009-09-16T16:08:00.003-07:002009-09-16T16:08:20.148-07:00Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-68101021494762719552009-09-16T16:08:00.001-07:002009-09-16T16:08:09.375-07:00Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4943791314185693202.post-24259727419592083572009-09-16T15:10:00.001-07:002009-09-16T16:07:47.713-07:00Unknownnoreply@blogger.com0